เหตุผลที่คุณต้องทำธุรกิจแบบนักการตลาด ไม่ใช่แบบนักธุรกิจเสมอไป

บทความชวนงงในวันนี้คือการทำงานแบบที่เป็นนักธุรกิจนั้น มันไม่ถูกต้องตรงไหนกัน (วะ) แล้วทำไมต้องทำธุรกิจแบบนักการตลาดด้วย ในเมื่อนักการตลาดทำพวกงานโฆษณา จัดอีเวนต์ อะไรทำนองนั้นไม่ใช่เหรอ

คุณอาจจะตั้งคำถามกับผม ซึ่งใจเย็นๆ ก่อนครับ ผมกำลังจะบอกคุณเดี๋ยวนี้ว่าทำไมคุณต้องธุรกิจใดๆ ก็ตามด้วยแนวคิดแบบนักการตลาด อ่านแล้วเก็ตแน่นอนครับ

1. การตลาดคือการมองไปที่ลูกค้า ไม่ใช่มองแบบนายทุน

เพราะการตลาดจะทำความเข้าใจก่อนครับว่าลูกค้าต้องการอะไร ชอบอะไร มีปัญหาอะไรที่เจออยู่ทุกวี่ทุกวัน ถึงจะออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการนั้น ตัวอย่างของการทำธุรกิจที่ไม่รู้การตลาด เช่น คุณเปิดร้านส้มตำทอด คือมันก็แปลกดีครับ ช่วงแรกๆ คนแห่มากิน แต่ซักพักเริ่มไม่มีคนกิน สิ่งนั้นก็เพราะมันไม่ได้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าและมันไม่ออริจินอลยังไงล่ะครับ ทางทีดีคือเปิดร้านส้มตำธรรมดาแล้วทำให้มันอร่อยจะดีกว่า ลูกค้ามาซื้อซ้ำแน่นอน

2. การเปิดธุรกิจที่ไร้คู่แข่งไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป

หลายๆ คนที่คิดแบบผู้ประกอบการ มักจะมองว่าการหาธุรกิจที่คู่แข่งไม่ค่อยทำ หรือไม่มีคู่แข่งเลยจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่หารู้ไม่ว่ากว่าที่คุณจะทำสิ่งใหม่แล้วทำให้ลูกค้าเข้าใจสิ่งนั้นจนควักตั้งซื้อ มันต้องทุ่มเงินมหาศาลในการทำให้ลูกค้ารับรู้และเปลี่ยนพฤติกรรม ตังไม่ถึงก็จอดแน่นอนครับ ดูตัวอย่างคือไดร์เป่าผมยี่ห้อไดสัน อันละหมื่น กว่าที่ลูกค้าจะรับรู้ว่ามันเจ๋งจริงจนเป็นสุดยอดนวัตกรรม คุณคิดดูครับว่าเขาต้องลงทุนเท่าไหร่ว่าธุรกิจเขาจะปังขนาดนี้ ไอโฟนก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดี

3. ไม่ผิด ที่จะทำธุรกิจคล้ายคู่แข่ง เพราะมีตลาดรองรับและมีความต้องการอยู่แล้ว

นักธุรกิจมักมองว่าการก็อปปี้หรือลอกเลียนแบบนั้นเป็นสิ่งที่เลวมาก ไม่ควรทำ ล้มเหลว แต่สำหรับนักการตลาดมันเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งเลยครับ เพราะมันไม่ผิดกฎหมายขนาดนั้น โดยเฉพาะธุรกิจระดับโลกแบบโค้กกับเป๊ปซี่ รสชาติแทบจะเหมือนกันเดี้ยแต่ไม่ได้มีการฟ้องร้องกัน ถ้าคุณไม่ได้ผิดกฎหมายสิทธิทางปัญญา ถูกมั้ยครับ นักการตลาดจะมองว่าสิ่งที่มันปังอยู่แล้วเป็นสิ่งที่น่าทำ เพราะว่ามีตลาดรองรับอยู่แล้ว เพียงแต่คุณพัฒนาให้มันดีขึ้นเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาด ไม่เชื่อลองดูร้านสุกี้ ชาบู หมาล่า เต็มบ้านเต็มเมืองดูสิครับ ยังไงก็ยังไม่เจ๊ง ณ ตอนนี้ เพราะมีความต้องการในตลาดอยู่

4. นักการตลาดมองที่ปลาไวแย่งตลาดปลาใหญ่ แต่นายทุนมองที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก

เหตุผลนี้คงเห็นได้แบบชัดเจนก็คือการทำตลาดผ่านโซเชี่ยลมีเดีย นักการตลาดจะมองว่าอะไรที่เป็นโปรโมชั่นปังๆ คำโดนๆ รวมไปถึงคอนเทนต์ที่ตอบสนองความชื่นชอบของผู้คน ผลก็คือลูกค้าตอบรับและมียอดขายเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเงินมากมายเหมือนนายทุนขนาดใหญ่ ไม่เชื่อลองดูติ๊กต่อกสิครับว่ามีร้านแปลกๆ อะไรที่คุณอยากไปลิ้มลอง สิ่งเหล่านั้นมาจากไอเดียใหม่ๆ ของนักการตลาดที่ไม่ได้มีเงินแม้แต่บาทเดียวก็ทำให้ดังได้ครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts