เหตุผลที่คุณควรก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายแทนที่การเป็นท็อปเซลล์

บทความนี้คงไม่ถูกใจบรรดานักขายตัวท็อปหลายๆ คนแน่นอน เพราะคราวก่อนเขียนเรื่องนี้ไปว่าทำไมท็อปเซลล์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากไปเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ผลก็คือได้รับคอมเมนท์ว่าไม่อยากเป็นและมีการแชร์ออกไปอย่างล้นหลาม แต่ก็อย่างที่บอกครับ ถ้าเป็นท็อปเซลล์แล้วชีวิตดีอยู่แล้ว ผมคงไม่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายขายตั้งแต่อายุน้อยๆ อย่างแน่นอน และนี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมคุณถึงควรน้อมรับตำแหน่งนี้เมื่อโอกาสเข้ามาด้วยความเต็มใจ จากผมครับ

1. หนีสถานะหมาล่าเนื้อด้วยการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด (กว่า) ของสายงานขาย

หมาล่าเนื้อนักล่าก็เปรียบได้กับท็อปเซลล์ผู้หิวโหยตลอดเวลา ตอนที่คุณฟิต มีกำลังวังชา รวมไปถึงความเก๋าก็ดีไปครับ แต่อย่าลืมว่าถึงจุดจุดนึงก็จะมีนักขายสายเลือดใหม่ที่มาพร้อมความรู้หรือเครื่องมือที่ดีกว่า ยิ่งยุคนี้เจ้า AI พยายามขายของแทนคนได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าคุณอยากเติบโตในสายงานแบบยั่งยืน มีค่ากับองค์กรหลายๆ แห่ง การรับตำแหน่งผู้จัดการและเรียนรู้ด้วยความมุ่งมั่นจะทำให้คุณเติบโตได้อีกขั้นครับ

2. ได้โอกาสในการพัฒนาทักษะชั้นสูงที่หลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ใช้ด้วยซ้ำ

จริงอยู่ที่การเป็นผู้จัดการจะต้องฝึกทักษะใหม่ที่คุณไม่เคยทำมาก่อนอย่างเช่น ทักษะการเป็นผู้นำที่ดี ทักษะการสื่อสาร ทักษะการโค้ชชิ่งทีมงาน ทักษะการวางกลยุทธการขายใหม่ หรือแม้กระทั่ง “ทักษะการปกครองคน” และการใช้อำนาจ ซึ่งทักษะพวกนี้จะทำให้คุณก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้บริหารระดับสูงถ้าหมั่นขัดเกลาดีๆ บอกเลยว่าใครที่ไม่เคยเป็นผู้จัดการใหม่ ชาตินี้ไม่มีทางเป็นผู้บริหารแถวหน้าแน่นอน

3. อิทธิพลและความสำคัญในองค์กร

ต้องยอมรับว่าถ้าคุณเป็นผู้จัดการขึ้นไปได้ คุณมีโอกาสที่จะ “ต่อสายตรง” กับเจ้านายระดับ CEO อยู่แล้ว ซึ่งก็หมายความว่าถ้าคุณคุมทีมให้ทำงานได้ดี โอกาสที่จะเป็น “ลูกรักเจ้านาย” ก็จะสูงตามแบบไม่ต้องทำอะไรมาก อะไรที่เป็นความลับหรือความสำคัญของบริษัท คุณย่อมมีโอกาสรู้ก่อน แถมยังเสียงดังตามผลงานที่ยิ่งทำงานดีก็มีแต่คนต้องคอยฟังคุณ แม้กระทั่งเจ้าของบริษัทก็ตามครับ

4. ความมั่นคง

ถ้าคุณถูกดันมาจากคนในองค์กรให้รับตำแหน่งผู้จัดการ ก็หมายความว่าคุณมี “ที่คุ้มกะลาหัว” ระดับนึงเลย เมื่อเทียบกับนักขายด้วยกันในหลายๆ องค์กร เมื่อฟอร์มตกติดต่อกัน ยอมรับว่ามีโอกาสโดนไล่ออกก่อนใครเพื่อน ต่างกับผู้จัดการที่จะมีเหตุผลประกอบเมื่อยอดขายไม่ดีหลายอย่าง เช่น ลูกน้องไม่ดี สินค้าไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งอย่างน้อยเจ้านายคุณก็จะคอยให้โอกาสคุณสร้างทีมใหม่และให้เวลาระดับนึงเลยครับ

5. ได้ค่าคอมมิชชั่นเหมือนกันนะ

องค์กรมาตรฐานจะมีระบบจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับระดับผู้จัดการเช่นกัน เพียงแต่จะเป็นการจ่ายจาก “ยอดรวมของทีม” ซึ่งค่าตอบแทนก็ไม่น่าเกลียด รวมกับฐานเงินเดือนที่สูงกว่าระดับนึง คุณย่อมมีโอกาสได้รายรับรวมมากกว่าตอนเป็นท็อปเซลล์อยู่แล้ว

6. ได้รับความท้าทายใหม่ๆ และมีความหลากหลาย

ถามจริงเถอะว่าคุณไม่เบื่อเหรอครับในการทำงานแบบนักขายไปวันๆ ยังไงก็ได้ค่าคอมมิชชั่นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ก้าวหน้าไปถึงไหน โอกาสมาถึงคุณแล้วยังไงก็ต้องรีบคว้าไว้ เป็นผู้จัดการมีทั้งผลประโยชน์ อำนาจ และความสำคัญที่เหนือกว่านักขายธรรมดา ถือว่าเป็นงานที่ท้าทายและได้ทำสิ่งที่หลากหลายมากกว่าตอนเป็นนักขายอย่างเดียวแน่นอน

7. มอบคุณค่าให้กับผู้อื่นในเรื่องการแบ่งปันความสามารถและภาวะผู้นำ

ผู้นำ ยังไงก็ได้รับเกียรติสูงสุดมากกว่าผู้ตามแน่นอน เอาเป็นว่าหัวหน้าห้องสมัยเรียนของคุณก็ได้รับความน่าเชื่อถือจากเพื่อนมากๆ เพราะมีความเสียสละและความรับผิดชอบสูงกว่า ทำให้คุณได้รับความเคารพจากลูกน้องในทีมถ้าใช้อำนาจอย่างถูกวิธี นอกจากนี้ยังสามารถ่ายทอดความรู้และความเทพในเรื่องการขายให้กับทีมจนได้รับความรักมากยิ่งขึ้นกว่าตอนบินเดี่ยวแบบเห็นๆ

8. เส้นทางสู่ผู้บริหารและผู้ประกอบการที่ยั่งยืนในอนาคต

ถ้าคุณทำได้ดี ฝีมือดี รับรองว่าอนาคตมั่นคงและค่าตัวสูงแน่นอน คุณจะกลายเป็นมนุษย์ทองคำระดับผู้บริหารที่มีแต่คนต้องการตัว ค่าเหนื่อยเอาแค่เงินเดือน ไม่มีทางต่ำกว่า 200,000 แน่นอนครับ ที่สำคัญคือมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เช่น หุ้น ก่อตั้งบริษัท สร้างบริษัทลูก ฯลฯ ร่วมกับองค์กรหรือออกไปทำเองก็ยังได้ครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts