วิธีดีๆ เมื่อจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าแล้วทำให้คุณยังรักษาลูกค้าเอาไว้ได้
ปัญหาของคนทำธุรกิจเวลาที่ต้นทุนเริ่มสูงขึ้นจนถึงขั้นแบกรับไว้ไม่ได้ก็คือการที่จะต้อง “เพิ่มต้นทุน” ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือการที่จะต้อง “ขึ้นราคา” ซึ่งก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้ผลประกอบการนั้นยังคงเป็นกำไร ยังคงอยู่รอดได้ในสงครามธุรกิจที่โหดร้าย ซึ่งคุณก็ยังคงกลัวมากแน่นอนเพราะการประกาศขึ้นราคาย่อมทำให้ลูกค้าอันทรงเกียรติรู้สึกไม่พอใจ เผลอๆ หายหัวจากคุณไปเลยด้วยซ้ำ ผมจึงมีทางออกมาให้พวกคุณดังนี้ครับ
1. แจ้งสาเหตุที่ต้องขึ้นราคาด้วยความจริงใจ
ไม่ผิดที่จะบอกลูกค้าว่าสภาพเศรษฐกิจ ความจำเป็น กฎหมาย หรือต้นทุนในการทำธุรกิจของคุณนั้นต้องเพิ่มสูงขึ้นจนคุณแบกรับไม่ไหว แต่ถึงกระนั้นหลายๆ คนก็ยังกลัวที่จะพูดความจริงว่าคุณแบกรับมันไว้ไม่ได้แล้ว เชื่อเถอะว่าลูกค้าทุกคนยินดีรับฟังถึง “ความจริงใจ” และพวกเขาต้องการเพียงแค่ “ความจริง” ทีคุณสามารถบอกลูกค้าพร้อมกับข้อเท็จจริง เช่น ต้นทุนการส่งสินค้าของคุณแพงขึ้นเพราะราคาน้ำมัน ต้นทุนของวัตถุดิบในขณะนี้อย่างหมูแพง จึงทำให้ไม่สามารถตรึงราคาเท่าเดิมได้อีก เป็นต้น ลูกค้าย่อมเข้าใจได้แน่นอนครับ
2. บอกไปตรงๆ ว่าราคาที่ปรับขึ้นนั้นเป็นมูลค่าเท่าไหร่
สิ่งที่ลูกค้าเซ็งก็คือเวลาที่คุณขอปรับราคาก็ดันไม่พูดความจริงว่าจะปรับขึ้นเท่าไหร่ ตั้งราคาเพิ่มขึ้นโดยที่ลูกค้าไม่ทันตั้งตัวนั่นเอง เช่น คุณบอกว่าต้นทุนแพง จู่ๆ คุณก็ปรับราคาเพิ่มขึ้น 20-30 บาท หรือขึ้นไปหลายขั้นเลย ลูกค้าจึงรู้สึกไม่โอเคเพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้โง่ที่จะคำนวณต้นทุนของคุณครับ คุณจึงควรประกาศไปชัดๆ ว่าขอขึ้นราคาเพิ่มเท่าไหร่ เช่น 50 บาทเพราะหมูแพงขึ้นจริงๆ หรือขึ้นราคาอีก 20% เพราะจำเป็นจะต้องรักษามาตรฐานการผลิตให้มีคุณภาพที่ดี
3. บอกลูกค้าว่าพวกเขาจะได้รับคุณภาพและการบริการที่ได้มาตรฐาน
นี่คือกุญแจสำคัญในการทำให้ลูกค้าคุณภาพดีของคุณยังคงซื้อคุณไปอีกตราบนานเท่านาน สิ่งนั้นก็เพราะคุณได้แสดงความจริงใจว่าพวกเขาจะได้รับการส่งมอบสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพเหมือนเดิม พวกเขายังคงได้กินเนื้อพรีเมี่ยมหรือได้วัตถุดิบที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีเหมือนเดิม ไม่ต้องห่วงว่าคุณภาพจะตกลง เชื่อไหมครับว่าที่ร้านหมูกระทะหลายๆ แห่งเจ๊งเพราะไม่ยอมรักษาคุณภาพแต่กลัวว่าขึ้นราคาแล้วลูกค้าจะหนีหายไป ทั้งๆ ที่ลูกค้าชั้นดีนั้นยอมจ่ายแพงเพื่อกินของคุณภาพต่างหากล่ะครับ
Comments
0 comments