Influencer Marketing คืออะไร ทำไมคุณถึงต้องรู้จักและลงมือทำเดี๋ยวนี้
คุณผู้อ่านที่เป็นนักขายคงไม่ค่อยรู้จักหรือได้ยินคำว่า “การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์” (Influencer Marketing) กันมากเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณมีอาชีพเป็นนักการตลาด คุณต้องรู้จักคำนี้ว่ามันมีความสำคัญมากแค่ไหน มิเช่นนั้นก็เตรียมตัวตกงานเพราะเป็นนักการตลาดที่ตกยุคได้เลย
เนื่องจากธุรกิจของบริษัทผมเองเป็นโซลูชั่นด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร ซึ่งกลุ่มลูกค้าก็คือบริษัทขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจแบบ B2C เช่น กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอางค์ ธนาคาร สื่อสาร ยานยนต์ เป็นต้น แล้วผมเองก็เป็นนักขายให้กับลูกค้าที่ทำงานฝ่ายการตลาดเป็นหลัก (งงไหมครับ ฮา)
ดังนั้นผมจึงต้องมีความรู้ด้านการตลาดที่เชี่ยวชาญสูงมาก เพื่อให้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มนักการตลาดตัวฉกาจเกิดความน่าเชื่อถือในตัวผมที่โซลูชั่นของธุรกิจผมสามารถช่วยเหลืองานพวกเขาให้ง่ายขึ้น
ที่สำคัญคือถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เรียนจบคณะการตลาดโดยตรง แต่คลาสปริญญาโทศศินทร์ที่ได้เรียนกับศาสตราจารย์ระดับโลกและได้คะแนนระดับท็อปได้พิสูจน์แล้วว่าผมมีความเชี่ยวชาญ จึงมั่นใจได้ว่าผมสามารถถ่ายทอดความรู้ด้านการตลาดแบบดิจิทัล (Digital Marketing) ให้เข้าใจง่ายๆ ในภาษาเซลส์ได้แน่นอน
และนี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ Influencer Marketing ซึ่งผมเองได้ทำการขายโซลูชั่นนี้ให้กับแบรนด์ชั้นนำและพบว่าสามารถช่วยทำให้การรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) ไปจนถึงยอดขายที่เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการตลาดดีขึ้น ต่อให้คุณเป็นนักขายแต่ก็ควรรู้จักความรู้ด้านนี้เอาไว้บ้างนะครับ สามารถเอาไปใช้ได้แน่นอน
Influencer Marketing คืออะไร
แปลตรงตัวก็คือการตลาดแบบใช้ผู้มีอิทธิพลนั่นเอง พูดง่ายๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือใช้ “พรีเซนเตอร์” ซึ่งก็คือการใช้คนดัง เช่น ดาราดังค่าตัวเป็นล้าน เน็ตไอดอล คนมีชื่อเสียง หรือแม้แต่เอาตัวคุณเองโพสต์บนเฟซบุ้คทุกวันก็ถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลต่อคนอื่น แล้วเอามาพูดเกี่ยวกับข้อดีของสินค้า ประโยชน์การใช้งาน หรือประสบการณ์ที่ได้รับหลังการใช้สินค้า ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปคู่กับสินค้าหรืออัดวีดีโอแล้วโพสต์ลงเฟซบุ้คหรือไอจีโดยมีจุดประสงค์บางอย่างคือการให้คนเห็นเกิดความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตัวสินค้าจนเกิดความอยากซื้อโดยที่แบรนด์ไม่จำเป็นต้องพูดด้วยตนเองเลยด้วยซ้ำ
ตัวอย่างเช่น สมัยก่อนแบรนด์โฟมล้างหน้าก็จะโฆษณาทางทีวี บางแบรนด์ไม่ใช้ดาราแต่เน้นการนำเสนอคุณสมบัติว่าล้างแล้วดี ไม่มีสิว หรือใช้นักแสดงโนเนมที่เน้นมุกตลกกับเรื่องดราม่าเพื่อประหยัดงบ (ฮา) แทนการจ้างดารา แล้วก็ลงโฆษณาผ่านทีวีแบบเปิดทุกวัน ซ้ำๆ จนคุณจำได้ ซึ่งวิธีนี้ไม่ถือว่าเป็นการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ แต่ถ้าแบรนด์เลือกใช้ดาราหรือคนมีชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือมาเป็นพรีเซนเตอร์แล้วบอกว่าใช้สินค้า โดยมอบความรู้สึกให้คุณเชื่อว่าล้างทุกวันแล้วหน้าจะหล่อเหมือนณเดช (ฮา) อย่างนี้ถือว่าเป็นการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์
Influencer Marketing ในยุคปัจจุบัน
อย่างที่กล่าวไปว่าการใช้ดารานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ว่ายุคนี้เป็นยุคออนไลน์แทบจะ 100% ตัวคุณเองที่กำลังอ่านบทความนี้แทบจะไม่เคยเปิดทีวีดูเลยด้วยซ้ำ แถมยังเล่นมือถือมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน ตัวคุณก็เบื่อโฆษณาทีวีที่ต้องเปลี่ยนช่องหนี แถมมือถือก็มีรายการดีๆ ที่อยากดูอะไรก็ได้ดูบนยูทูป มีบทความดีๆ ให้อ่านบนเฟซบุ้ค มีคนที่คุณชื่นชอบและสนใจให้ติดตามรูปของพวกเขาบนไอจี (Instagram) คุณจึงเลือกเสพสิ่งที่คุณสนใจในชีวิตได้เลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโอกาสของการทำการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์เพราะถึงแม้ว่าคุณจะเลิกสนใจดาราเบอร์ใหญ่ไปแล้ว แต่คุณก็จะติดตามคนดังบนโลกออนไลน์ที่ไม่ต้องดังมาก (แบบเซลส์ร้อยล้าน) เป็นต้น
คุณจึงมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น คุณชอบรถยนต์ คุณจึงเลือกเสพและติดตาม (Subscribe) หรือกดไลค์เพจที่มีเนื้อหาตามที่คุณสนใจเกี่ยวกับบุคลากรด้านรถยนต์ เมื่อดูไปซักพักแล้วเกิดความรู้สึกที่ดี คุณจึงพร้อมที่จะเชื่อสิ่งที่พวกเขานำเสนอ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนดังอะไรมากในสายตาคนอื่น แต่สำหรับคุณ พวกเขาอาจจะเป็น “ศาสดา” ของสิ่งที่คุณสนใจเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเมื่อแบรนด์รถยนต์เห็นโอกาสเพื่อยิงโฆษณาไปหาคุณซึ่งเป็นคนที่ชอบรถยนต์และถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก พวกเขาจึงเริ่มทำการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์กับคนกลุ่มนี้แทนการใช้ดาราแบบสมัยก่อน
Micro and Nano-Influencer Marketing คือวิธีด้านการตลาดที่สำคัญในยุคนี้
ถ้าผมถามคุณตอนนี้ว่าใครคือดาราในดวงใน ณ ชั่วโมงนี้ คุณต้องมีแน่ๆ ในใจ แต่เชื่อผมไหมว่าอีกไม่นานคุณก็จะลืมและเริ่มติดตามดาราคนใหม่จากกระแสคลื่นลูกใหม่ที่มีมากตลอดเวลา บางคนติดตามหรือกรี๊ดดาราเฉพาะตอนที่มีละครดังเท่านั้น พอละครจบก็หมดกระแส คุณจึงหมดความสนใจกับคนเหล่านั้นอีก แต่การตลาดแบบ Micro-Influencer ที่แปลตรงตัวก็คือคนที่มีอิทธิพลขนาดเล็ก ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดัง พูดง่ายๆ ก็คือคนที่คุณไว้ใจได้ เช่น เพื่อน ครอบครัว หัวหน้า กูรู ดาวคณะ เด็กเรียนตัวเทพ ฯลฯ ก็สามารถมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของคุณได้ทั้งนั้น
สมมติว่ามีแบรนด์สินค้าด้านการออกกำลังกายมาเลือกใช้เพื่อนของคุณที่เป็นนักเพาะกายตัวยงมาพูดแทนแบรนด์ว่ามีข้อดีหรือมีประโยชน์อย่างไร คุณย่อมมีแนวโน้มที่จะเชื่อคุณมากที่สุด มากกว่าดาราที่ดูๆ แล้วคือ “ถูกจ้างให้มาพูดแต่ไม่ได้ใช้จริงแน่นอน” ดังนั้นการตลาดในรูปแบบนี้จะใช้ “กองทัพมด” คือการรวมคนที่ไม่จำเป็นต้องดังมากแต่เป็นคนดูดี มีผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง (ประมาณหลักพันถึงหลักแสนคน) มาทำแคมเปญร่วมกับแบรนด์ซึ่งไม่ถึงกับบังคับให้เหล่าไมโครฯ ต้องพูดตามสคริปต์ แต่สามารถสร้างสรรค์คำพูดหรือวีดีโอตามไลฟ์สไตล์ของพวกเขาเพื่อสื่อไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์อยากได้ เช่น แบรนด์ฟิตเนสอยากได้กลุ่มคนทำงาน จึงเลือกแต่คนทำงานพูดแทน
เป็นนักขายก็ใช้หลักการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์มาช่วยปิดการขายได้
นักขายสามารถเรียนรู้หลักการจากนักการตลาด ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้มีความยุ่งยากหรือซับซ้อนอะไรเลย วิธีนั้นก็คือ “การเล่าเรื่อง” (Story-Telling) โดยเฉพาะเรื่องความสำเร็จที่คุณขายให้กับลูกค้าที่น่าเชื่อถือ มีธุรกิจใกล้เคียง ได้ประโยชน์จากสินค้าและบริการของคุณจริงให้กับลูกค้ารายใหม่ที่กำลังจะซื้อแต่ยังรู้สึกลังเลหรือมีข้อโต้แย้งบางอย่างที่ทำให้เขายังไม่ตัดสินใจซื้อ ลูกค้าเกรดเอของคุณนั่นแหละครับที่สามารถเอากลยุทธ Influencer Marketing มาผสานร่วมกับวิธีปิดการขายแบบเล่าเรื่องได้ เพราะมันคือเรื่องจริงและสามารถพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นได้ทันที
นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องเรียนรู้การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ครับ
Comments
0 comments