หยิบหนังมาเล่า “The Pursuit of Happyness” (โคตรดี)

ผมเคยลงบทความเกี่ยวกับ 10 หนังที่จะทำให้คุณขายดีขึ้น และเป็นหนังที่เหล่านักธุรกิจหรือคนที่มีความฝันที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานควรจะหยิบมาดูให้ได้ในชีวิต หนึ่งในหนังเรื่องนั้นก็คือ “The Pursuit of Happyness”

ซึ่งตอนนี้ก็ลงโรงฉายอยู่บน Netflix ทำให้ผมคงไม่พยายามที่จะกดปุ่มดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งเสียมิได้ ผมดูรวมๆ กันประมาน 10 รอบเห็นจะได้ ต้องบอกว่าดูทุกครั้งก็ยิ่งซาบซึ้งและกลับมามีพลังกับจุดไฟในตัวผมได้อย่างสม่ำเสมอ

หนังเรื่องนี้มีดีอะไร? ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยดูกันมาแล้ว แต่ก็ยังเชื่ออีกว่ามีหลายคนที่ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ ผมจึงอยากเล่าให้ทุกคนฟังครับว่าหนังเรื่องนี้ให้แง่คิดกับชีวิตพร้อมกับเอาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันคุณได้อย่างมีคุณค่า ที่สำคัญคือสร้างมาจากเรื่องจริงด้วย

1. เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของคริสโตเฟอร์ การ์ดเนอร์ ซึ่งตอนนี้เป็นทั้งนักลงทุน นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เป็นคนผิวสีที่เริ่มชีวิตการเป็นเซลล์แมนขายเครื่องสแกนกระดูกซึ่งก็ขายยากมากจากการลงทุนด้วยเงินก้อนแรก

2. ชีวิตในช่วงแรกเหมือนจะมีความหวังเพราะว่าเขาคาดหวังว่าสินค้าตัวนี้จะขายได้ดี แต่มันกลับขายได้ยากมาก ทำให้คริส การ์ดเนอร์เริ่มมีปัญหาด้านการเงิน ส่วนภรรยาก็ต้องทำงานเป็นกะอยู่ที่โรงแรมด้วยตำแหน่งพนักงานทำความสะอาด ส่วนลูกชายก็ต้องส่งเข้าไปเรียนเนิสเซอรี่ซึ่งก็ไม่ได้มีคุณภาพอะไรเพราะต้องใช้เงินมากขึ้นนั่นเอง

3. พอการเงินเริ่มสะดุด ชีวิตคู่ก็มีปัญหา แต่คริส การ์ดเนอร์ก็พยายามทำทุกอย่างด้วยการออกไปขาย ซึ่งก็ยังไม่ได้ผลอีกเช่นเคย สุดท้ายแล้วเงินก็เริ่มหมด ภรรยาก็ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้อีก คริส ต้องเลือกว่าจะขอเป็นฝ่ายเลี้ยงลูกเองหรือปล่อยให้ไปอยู่กับภรรยาของเขา ซึ่งคริสก็เลือกอย่างแรก

4. คริสก็ดำเนินชีวิตด้วยการเป็นนักขายเช่นเคย วันหนึ่งเขาเดินผ่านบริษัทค้าหุ้นและเจอคนขับรถสปอร์ต คริสจึงถามว่าเขาต้องทำงานอะไรถึงจะมีรอยยิ้มมีความสุขแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นตอบว่า “เป็นนายหน้าค้าหุ้น (Stock Broker) ไงเพื่อน” นี่จึงเป็นคำถามแรกซึ่งทำให้คริสมีความรู้สึกที่ดีกับอาชีพนี้

5. คริสบอกภรรยาว่าจะลองไปสมัครงานที่บริษัท Broker เขาจึงลองไปสมัครงานดู ซึ่งก็ได้ใบสมัครที่ ดีน วิทเทอร์ เรย์โนลด์ แต่ก็ยังแห้วอยู่เพราะไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์ แต่แล้วโอกาสก็มาถึงเพราะเขาได้ขึ้นรถแท็กซี่คันเดียวกับชายที่น่าจะเป็นหัวหน้า ระหว่างนั้นเขาก็เล่นรูบิคไปด้วย ซึ่งมันเป็นของเล่นที่ต้องใช้สมองมาก คริสเลยขอลองเล่นดูบ้างและปรากฎว่าเขาทำได้ คริสจึงค้นพบว่าตัวเองเก่งด้านตัวเลขและคณิตศาสตร์ ซึ่งเขาบอกว่าเรียนเก่งแต่เด็ก

5. สุดท้ายก็ได้สัมภาษณ์งานจนได้ ด้วยสภาพที่ดูไม่ได้เลยเพราะตอนนั้นพึ่งทาสีห้องพักเพื่อผลัดค่าเช่าห้องกับติดคุกอยู่คืนนึงเพราะจ่ายค่าปรับเรื่องจอดรถไม่ทัน เขาก็ได้ใช้กึ๋นในการตอบคำถามและได้เข้าร่วมโปรแกรมเป็นนายหน้าค้าหุ้นฝึกหัด ซึ่งข่าวร้ายก็คือโปรแกรมนี้ต้องอบรม 6 เดือนเต็มและจะคัดเลือกคนที่ดีที่สุดเพียง 1 คนเท่านั้น แถมยังเอาไปใช้ที่อื่นไม่ได้ด้วย ทำให้คริสรู้สึกแย่มากเพราะมันไม่มีเงินเดือนให้จนกว่าจะได้รับคัดเลือก

6. หลังจากนั้นก็เริ่มโดนไล่ที่จนได้ ต้องระหกระเหินไปนอนตามที่ต่างๆ ไล่ตั้งแต่โรงแรมจิ้งหรีด ซึ่งจะมีฉากนึงที่คริสไปเล่นบาสฯ กับลูก และพูดถึงการเป็นนักบาส NBA ลูกชายของเขารู้สึกเซ็ง คริสจึงได้พูดว่า

“อย่าให้ใครมาบอกลูกว่า ลูกทำนั่นทำนี่ไม่ได้ แม้แต่พ่อ”
“เมื่อลูกมีความฝัน ลูกต้องปกป้องมัน คนที่ทำอะไรไม่ได้ เขาจะบอกลูกว่าลูกทำไม่ได้หรอก ถ้าลูกต้องการอะไร ต้องเอามันมาให้ได้”

ซึ่งประโยคนี้ซึ้งมากๆ เลยครับ ถ้าคุณมีลูกเล็กๆ ลองพูดกับเขาดูนะครับ

7. คริสเริ่มขายเครื่องสแกนกระดูกได้บ้างแล้วพร้อมกับเข้าโปรแกรมฝึกอบรมเป็นนักค้าหุ้น หน้าที่ก็คือโทรหาลูกค้าวันละ 500 สายซึ่งทำงานในบริษัทระดับ Fortune 500 ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือโทรหาคนมีเงินจนไปถึงระดับ CEO จะชวนไปทานข้าวหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องขายหุ้นให้ได้ ซึ่งระหว่างอบรมก็มีตำราให้อ่าน ตรงนี้แหละที่เป็นเรื่องเกมตัวเลขของนักขายเลย

“จำนวนโทร = จำนวนโอกาส”
“จำนวนโอกาส = จำนวนลูกค้า”
“จำนวนลูกค้า = จำนวนเงิน” ซึ่งก็คือกำไรของบริษัท

8. ซึ่งตอนนี้จะเป็นช่วงการเข้าฝึกอบรมที่เข้มข้น คริสต้องทำตั้งแต่ไปชงกาแฟให้หัวหน้า นั่งกดปุ่มโทรศัพท์หาลูกค้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งเรียกว่าการทำ Cold-Calling ตอนแรกเขาก็รู้สึกว่าไม่ได้ผลซักที สคริปต์การโทรก็ตามที่อ่านมานี่นา ช่วงนี้ก็ยังไม่มีความสุขเท่าไหร่ ทำงานเสร็จ ขายเครื่องสแกนกระดูกแล้วก็ต้องไปรับลูกอีกต่างหาก ชีวิตได้ดำเนินไปแบบนี้เรื่อยๆ

9. คริสรู้ดีว่าจะได้รับเลือกก็ต้องปิดการขายให้ได้มากที่สุด หาลูกค้าให้ได้อย่างสุดฝีมือตามรายชื่อตั้งแต่ตำแหน่งล่างสุดยัน CEO สิ่งที่เขาเสียเปรียบคือทำงานได้แค่ 6 ชั่วโมง คนอื่นทำ 9 ชั่วโมงเพราะต้องไปรับลูก เพื่อไม่ให้เสียเวลา เขาจึงไม่วางหูเลยและจะได้เวลาเพิ่มอีก 8 นาที และเขาจะไม่ดื่มน้ำเพื่อจะไม่ต้องเสียเวลาเข้าห้องน้ำ ถึงจะทำขนาดนี้แล้ว 2 เดือนก็ไม่มีอะไรคืบหน้า

10. คริสจึงเลือดเข้าตา โทรหาคนระดับ CEO ซะเลย ซึ่งโชคก็เข้าค้างเพราะเลขาฯ ได้โอนสายไปคุยกับระดับ CEO ซึ่งเขาก็ชวนให้เข้ามาคุยที่บริษัทภายใน 20 นาที แต่ก็ไม่ได้พบจนได้เพราะว่ามาสายเกินไป คริสเลยตามไปถึงบ้านและโชคดีที่ได้เจอ CEO คนนั้นพอดี เขาเลยชวนคริสและลูกชายไปดูเกมแข่งเบสบอลด้วยกัน ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เขาได้ลองขายงานให้ CEO ถึงจะโดนปฎิเสธแต่เขาก็ได้คอนเนคชั่นเยอะมากเพราะว่าเขาเข้ากับคนอื่นได้ดีมาก

11. ผ่านไป 4 เดือน เขาขายเครื่องสแกนเนอร์ได้หมดแล้ว คงไม่อดตายแล้วเรา แต่สุดท้ายเขาก็ร่วงผลอย เพราะว่าสรรพากรเข้ามายึดเงินในบัญชีเรื่องภาษีจนเกือบหมดแบบไม่เตือนอะไรซักอย่าง เขาถังแตกโดยสมบูรณ์ เงินค่าห้องก็ไม่มีจ่าย สุดท้ายก็โดนไล่ที่จนได้ ฉากนี้จึงเป็นอะไรที่รันทดมากสำหรับชีวิตของคริส

12. ไคลแม็กซ์อีกฉากนึงของหนังเรื่องนี้คือคริสกับลูกชายไม่มีที่ซุกหัวนอนซะแล้ว ในขณะที่อยู่ในสถานีรถไฟใต้ดิน เขาต้องพาลูกเข้าไปนอนในห้องน้ำแล้วเอาเท้ายันประตูไว้ ฉากนี้ผมดูแล้วถึงกับร้องไห้เลยล่ะครับเพราะชีวิตคนคงไม่ตกต่ำสุดกู่ขนาดนี้ได้อีกแล้ว คริสนอนกอดลูกไปและร้องไห้ไป

13. เขาต้องหาที่อยู่อาศัยซึ่งก็ต้องไปเข้าคิวหาที่พักกับพวกโฮมเลส (Homeless) ในสถานสงเคราะห์ และต้องใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวี่ทุกวัน นอนก็นอนไม่สบาย น้ำก็ไม่มีห้องน้ำสะอาดๆ

14. ระหว่างนี้เขาได้ใช้คอนเนคชั่นและเข้าหาลูกค้าได้ดีขึ้น เริ่มปิดการขายได้มากขึ้น เขาทำงานเสร็จเร็วเพื่อจะได้ไปเข้าคิวสถานสงเคราะห์

15. และในที่สุดวันสอบข้อเขียนของการฝึกอบรมก็มาถึง คริสลงมือทำอย่างตั้งใจ เขาทำเสร็จได้ไวและก็เดินออกมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเพราะต้องไปรับลูก เดินออกมาก็เจอเจ้าของบริษัทยืมเงินอีก 5 เหรียญซึ่งก็เป็นเงินใบสุดท้าย เงินก็ไม่ค่อยมีถึงขั้นต้องไปบริจาคเลือดรับเงินฟรี

16. สุดท้ายอีกหนึ่งฉากไคลแม็กซ์ก็มาถึง นั่นก็คือวันประกาศผลคนที่ได้รับคัดเลือก เขาถูกเรียกตัวให้เข้าพบผู้บริหารและสุดท้ายเขาก็ได้รับคำขอบคุณ เขาถูกพูดว่า

“พรุ่งนี้ให้ใส่สูทมาทำงานด้วยนะ พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกของคุณ ถ้าคุณอยากเป็นโบรกเกอร์ คุณอยากเป็นมั้ย”

“งานนี้มันไม่ง่ายอย่างที่เห็นนะ” คริสตอบว่า “ใช่ครับ มันไม่ง่ายอย่างที่เห็น”

เขาได้รับเงินคืน 5 เหรียญและกล่าวขอบคุณแบบน้ำตาคลอไปด้วย ลูกผู้ชายที่เห็นฉากนี้ รับรองว่าน้ำตาซึมทุกคนครับ

17. คริสพูดกับตัวเองว่า “ช่วงชีวิตของผมช่วงนี้ เป็นช่วงเล็กๆ ที่เรียกว่าความสุข”
เขากลั้นความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ ปรบมือให้ตัวเองและรีบวิ่งไปหาลูกชายของเขา…

18. บทสรุปของหนังเรื่องนี้คือหลังจากนั้น คริสโตเฟอร์ การ์ดเนอร์ ได้ตั้งต้นชีวิตที่นี่และออกไปตั้งบริษัทการ์ดเนอร์ ริช ในปี 1987 ซึ่งทำเงินได้หลายล้านดอลลาร์และทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างตัวเองตั้งแต่ติดลบ หนังเรื่องนี้คงให้แรงบันดาลใจกับคุณได้มากทีเดียวเลยครับ ดูกี่ครั้งๆ ก็มีพลังพร้อมลุยงานต่อเลยครับ ขอบคุณที่ติดตามถึงย่อหน้านี้นะครับ


Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts