สัญญานอันตรายที่บ่งบอกว่าเจ้านายกำลัง ‘ไล่คุณออก’
วันนี้ผมมีความลับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับระดับผู้จัดการหรือเจ้าของกิจการในเรื่องงานบริหารบุคคลมาฝากกันครับ เป็นเรื่องราวที่ฟังดูแล้วอาจจะน่าหวาดเสียวสำหรับมนุษย์เงินเดือนแบบเราๆ ท่านๆ (ฮา)
เรื่องที่ว่านั้นก็คือเรื่องเกี่ยวกับ “การไล่พนักงานออก” ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เช่น คุณติดคุกคดีอาญา คุณทุจริตต่อองค์กร คุณแทะโลมผู้หญิงในบริษัทจนน่าเกลียด คุณทำงานไม่บรรลุตามเป้าหมายและล้มเหลว เป็นต้น
แต่ก็มีบางเหตุผลที่คุณอาจจะไม่เข้าใจและเจ้านายก็ไม่ได้บอกคุณ เช่น ธุรกิจหดตัว ขาดทุน ขาดสภาพคล่อง หรือมีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรด้านการจัดการ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็น “ปัจจัยภายนอก” ที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากตัวคุณเองและคุณนั้นไม่สามารถควบคุมได้ บางทีทำงานดีอยู่แล้วก็มีสิทธิ์ถูกเฉดหัวอย่างไร้เยื่อใยได้เช่นกัน
ผมจึงขอแชร์แนวคิดและสัญญานอันตรายที่เจ้านายคุณสร้างมันขึ้นมาเพื่อบีบหรือไล่คุณออก คุณจะได้เตรียมตัวหางานใหม่ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ตกอกตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นครับ
1. หัวหน้ามอบหมายงานที่ยากเกินกว่าจะทำได้แก่คุณคนเดียว
เป็นวิธีบีบให้คุณออกทางอ้อมด้วยการมอบหมายงานที่ดูทรงแล้วยากเกินกว่าที่คุณจะทำได้ เช่น ดีลยากๆ ที่บริษัทคุณไม่สามารถส่งมอบงานเหล่านั้น ดีลที่เป็นไปไม่ได้ โครงการที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนก็ทำไม่เสร็จ งานที่มีเวลาจำกัดมากเกินไป ฯลฯ ซึ่งผลลัพธ์ที่คุณจะทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จนั้น นายคุณย่อมทราบดีอยู่แล้ว พวกเขาเฝ้ารอวันที่คุณบอกว่าทำไม่สำเร็จเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการประเมินผลงานคุณ ด่าคุณ ตำหนิคุณ จนบั่นทอนสภาพจิตใจของคุณให้ย่ำแย่ และหวังผลไปสู่การยื่นใบลาออกด้วยตัวคุณเองโดยไม่เสียค่าชดเชยให้คุณเลยแม้แต่แดงเดียว ถือว่าเป็นวิธีที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบในฐานะนายจ้างหรือหัวหน้ามากๆ
2. ตัดงานทุกอย่างออกจากตัวคุณและให้คุณนั่งอยู่เฉยๆ ในออฟฟิศ
เป็นวิธีที่ได้ผลในการบีบ “คนทำงาน” ให้ตกอยู่ในสภาวะ “ไร้คุณค่า” ในการทำงาน พอไม่ได้ถูกมอบหมายให้ทำงาน คุณก็ย่อมไม่มีผลงานอะไร จนทำให้คุณนั่นแหละที่ตกอยู่ในความตึงเครียด ต่อให้ทนหายใจทิ้งไปวันๆ คุณก็อาจจะพ่ายแพ้ต่อสภาวะที่ไม่มีผลงานใดๆ ในระหว่างนี้ได้ เลวร้ายที่สุดก็จะลาออกไปเอง หรือถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นคนที่ทนแรงกดดันในสภาวะนี้ได้ดี พวกเขาจะรอให้คุณไม่มีผลงานไปซักระยะนึง จากนั้นก็จะประเมินคุณใหม่และบอกว่าคุณไม่มีผลงาน ตำหนิติเตียน หรือออกใบเตือนเรื่องผลการทำงาน คุณก็จะเป็นฝ่ายทนไม่ไหวในระยะยาวและตัดสินใจลาออกไปเอง
3. จ้างคนที่มีตำแหน่งเดียวกับคุณอย่างไม่ทราบสาเหตุ และมอบหมายงานให้คนใหม่มากกว่า
เป็นวิธีบีบให้คุณออกไปด้วยการจ้างคนที่มีคุณสมบัติคล้ายกับคุณ มีตำแหน่งและอำนาจเหมือนกับคุณทั้งๆ ที่บริษัทยังไม่ได้มีความจำเป็นต้องจ้างเซลล์ใหม่ขนาดนั้น ทุกอย่างทำงานได้ด้วยดี แต่พอมีคนใหม่มาแล้ว พวกเขาจะป้อนงานให้คนใหม่ไปเรื่อยๆ บางโปรเจคอาจเป็นของที่ต้องใช้ประสบการณ์ระดับคุณในการดูแล แต่ก็ถูกมอบให้คนใหม่ ซักระยะหนึ่งคุณก็จะรู้สึกว่าดีลใหม่ๆ ถูกป้อนให้กับคนใหม่มากกว่าคุณ คุณจะรู้ทันทีเลยว่าคนคนนี้ถูกสร้างมาเพื่อทำงานแทนคุณหลังจากที่คุณหมดประโยชน์แล้ว เพราะไม่มีดีลยากๆ พิสูจน์ฝีมือคุณให้ทำ คุณจะเริ่มมีจิตใจที่ห่อเหี่ยวและเป็นฝ่ายขอลาออกไปหาคนที่เห็นคุณค่าคุณมากกว่าไปโดยปริยาย
4. ไม่สนใจ ไม่ชวนคุณไปหาลูกค้าและไม่พูดคุยกับคุณเหมือนอย่างเคย
ถ้าเจ้านายเริ่มเพิกเฉยกับคุณ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็พูดคุยกันดี ทำงานร่วมกันได้ แต่จู่ๆ ก็เริ่มเงียบ ตีตัวถอยห่าง เริ่มไม่ไปออกตลาดด้วย หรือไม่ค่อยสนใจคุณแม้แต่ช่วงประชุมทีมขาย อย่างนี้ถือว่าเป็นสัญญานเริ่มต้นแห่งการไม่ชอบขี้หน้าคุณ หนักกว่านี้ก็จะเริ่มไม่ป้อนงาน ไม่สอนงาน ปล่อยให้คุณทำงานคนเดียว และเริ่มหาเรื่องเกี่ยวกับผลงานของคุณไปเรื่อยๆ คุณจะกลายเป็นคนที่ไร้ค่าในสายตาของพวกเขา สุดท้ายแล้วคุณเองก็จะเป็นฝ่ายทนไม่ได้และลาออกไปเองในระยะยาว
5. เรียกคุณเข้าห้องเย็นบ่อยๆ เพื่อตำหนิติเตียน แต่ไม่เสนอทางแก้ไขใดๆ ให้เลย
เจ้านายที่ชอบด่าลูกน้องโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้ส่งผลต่อการทำงานมากนัก ออกแนวหาเรื่องดราม่าหรือชอบพูดจาไม่ดีกับคุณอยู่บ่อยๆ ตำหนิคุณอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยชมคุณเลยเมื่อเทียบกับลูกน้องคนอื่นๆ อย่างนี้มีแนวโน้มว่าพวกเขาน่าจะไม่ชอบขี้หน้าคุณแล้วล่ะครับ เมื่อใดที่คุณความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฎ หรือถูกพวกเขาปกครองแบบเบ็ดเสร็จ คุณจะต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันในการทำงานสูงมาก สุดท้ายคนที่ถืออำนาจเหนือกว่าก็มักจะได้เปรียบเพราะจะบีบคุณยังไงก็ได้ เมื่อคุณไม่มีความสุขแล้ว คุณก็จะลาออกไปเองในระยะยาว
สิ่งที่ผมแชร์คือสัญญานเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นได้กับคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นเซลล์ที่เก่งกาจก็ตาม บางทีเจ้านายผีบ้าผีบอที่มีอำนาจเหนือกว่าและอยากบีบคุณออก พวกเขาอาจจะใช้วิธีนี้ในการไล่คุณออกก็ได้ครับ ซึ่งผมเองก็เคยเจอ
Comments
0 comments