เล่าเรื่องให้เป็นก่อนขายสินค้า
ทักษะการเล่าเรื่อง (Story Telling) สำหรับผมมันเป็นทักษะชั้นสูงที่เอาไว้ปิดการขายเลยก็ว่าได้ครับ ที่สำคัญคือทักษะนี้สำคัญกว่าการนำเสนอคุณสมบัติ (Features) ของสินค้าได้อย่างเฉียบคมเสียอีก มันเป็นทักษะที่เอาไว้ใช้ “รวบรัด” ให้ลูกค้ายินดีที่จะซื้อมากที่สุด และนี่คือเหตุผลที่คุณควรเล่าเรื่องเกี่ยวกับสินค้าให้เจ๋งก่อนที่จะนำเสนอขายสินค้า
1. ยุคนี้ผู้คนมักจะสนใจเรื่องราวของสินค้ามากกว่า
ทำไมธุรกิจสะสมของเก่า เครื่องรางของขลัง ต้นกล้วยพันธุ์พิเศษ หรือแม้แต่กระเป๋าแบรนด์เนมใบละแสนถึงมีผู้คนพร้อมที่จะจ่ายเงินให้กับมัน นั่นคือสินค้าเหล่านี้ล้วนมี “เรื่องราว” ยังไงล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความเป็นมาระดับร้อยปี เรื่องราวอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ หรือเป็นของสำคัญที่สร้างขึ้นเป็นชิ้นแรก เช่น ทวิตแรกของเจ้าของบริษัท Twitter ที่ถูกเรียกว่า NFT และมีคนซื้อไปในราคาหลายล้านดอลลาร์ ก่อนขายสินค้าจงสร้างเรื่องที่น่าสนใจและเล่าให้ลูกค้าฟังก่อนเสมอ
2. ลูกค้ามักสนใจเรื่องราวความสำเร็จหรือล้มเหลวก่อนที่จะประสบความสำเร็จ
เป็นเรื่องที่น่าเล่ามากๆ โดยเฉพาะการเอาเรื่องความสำเร็จของสินค้าที่ลูกค้ารายอื่นซื้อคุณไปแล้วมันก็เวิร์คมากๆ ยุคนี้หรือยุคไหนก็ยังได้ผลเสมอ เช่น Before & After หรือสิ่งปลูกสร้าง โครงการ โปรเจค ที่สามารถพาลูกค้าไปดูของจริงได้ ถ้ามีเรื่องราวเจ๋งๆ ขนาดนี้ บางทีแค่เล่าจบลูกค้าก็ถามราคาจนคุณพร้อมให้ส่วนลดปิดการขายแล้วล่ะครับ
3. การเล่าเรื่องใช้ทักษะที่ไม่ยากและฝึกได้
วิธีการเล่าเรื่องให้เจ๋งมีโครงสร้าง 4 อย่าง ดังนี้
– Context คือโครงเรื่อง เช่น เรื่องราวความสำเร็จ เรื่องราวความล้มเหลว เรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมา ฯลฯ คุณก็แจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนว่าคุณจะเล่าเรื่องราวที่มีโครงเรื่องแบบไหน
– Conflict คือ ความขัดแย้งในเรื่อง หรือภาษาหนังชีวิตก็คงเป็นตอนที่พระเอกเจอความทุกข์ เจอความลำบาก อุปสรรค ซึ่งนี่คือองค์สองในหนังที่คุณก็เติมเข้าไปในเรื่องราวของคุณเพื่อดึงดูดความน่าสนใจ
– Climax คือ จุดสุดยอดของเรื่องราวที่เปิดเผยถึงความสำเร็จ ความดราม่า หรือจุดสูงสุดของเรื่องราวอันเข้มข้น ในหนังก็อารมณ์ประมาณพระเอกปราบผู้ร้ายสำเร็จ ผ่านดราม่าและสร้างชีวิตได้ในที่สุด
– Conclusion คือ บทสรุปของเรื่องราวที่คุณได้เรียนรู้หรือลูกค้าฟังแล้วจะได้อะไรจากเรื่องนี้
คงไม่ยากเกินไปสำหรับการฝึกทักษะเล่าเรื่องให้น่าสนใจ ทำให้เก่งเข้าไว้ แล้วเดี๋ยวมาต่อกับวิธีการหามุกในการเล่าเรื่องเจ๋งๆ จากผมกันต่อครับ
Comments
0 comments