ฝึกการพูดในงาน Networking Event ให้ได้คอนเนคชั่นดีๆ ด้วยวิธีนี้

ยุคนี้เป็นยุคที่งานอีเวนต์หรือสัมมนาแบบมืออาชีพดีๆ ได้กลับมาจัดขึ้นแบบเดือนชนเดือน เนื่องจากตอนนี้โควิดได้จบลงโดยสิ้นเชิงแล้ว คนส่วนใหญ่ย่อมชื่นชอบที่จะสร้างความสัมพันธ์แบบเจอหน้ามากกว่า ผมเชื่อว่าคุณคงได้โอกาสดีๆ ในการเข้าร่วมสัมมนาทางธุรกิจแบบมืออาชีพตอนนี้ได้ไม่มากก็น้อย

คุณย่อมรู้ดีว่าคนส่วนใหญ่ในงานมักเป็นคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ยิ่งงานดีก็ยิ่งมีโอกาสเจอคอนเนคชั่นระดับเทพ คนใหญ่คนโต ซึ่งถ้าคุณเป็นนักขายหรือนักธุรกิจ ทักษะการพูดกับคนแปลกหน้าในงานแบบนี้จะต้องพลาดไม่ได้เป็นอันขาด เพื่อสร้างการยอมรับแบบมีทรงและสามารถทำธุรกิจได้ในอนาคต ด้วยวิธีนี้เลย

1. ทำตัวให้เป็นคนเข้าถึงง่ายและเฟรนลี่

ถ้าคุณเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีก็คงไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณโตแล้วและยังเป็นคนหน้าบึ้ง ไม่ค่อยเป็นมิตร เข้าถึงยาก ก็คงต้องฝึกและเผชิญหน้ากับการปรับตัว เริ่มจากการเตรียมตัวที่ดี เสื้อผ้าหน้าผมที่พร้อมก็จะทำให้มั่นใจ คิดเสมอว่าทุกคนคือเพื่อน เวลาแนะนำตัวจะได้มีรอยยิ้มจริงใจเสมอ ที่สำคัญคือต้องเปิดรับคนที่จะเข้ามาคุยกับคุณไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามราวกับเพื่อนที่เจอกันมานาน

2. มีสคริปแนะนำตัวที่กระชับและชัดเจนเป็นของตนเองเสมอ

ถึงขั้นต้องมีสคริปเพื่อที่จะได้แนะนำตัวให้มีความเป็นมืออาชีพเหมือนๆ กันทุกคน พูดซ้ำบ่อยๆ จะได้ไม่ต้องเกร็งนั่นเอง ซึ่งสคริปก็ง่ายมากแถมยังเป็นธรรมชาติ เริ่มจากการแนะนำชื่อตนเองด้วยชื่อจริงและชื่อเล่น อาชีพหรือความเชี่ยวชาญที่ทำอยู่ (แบบไม่อวดมาก) เสริมด้วยพวกงานอดิเรกที่คนอื่นน่าจะชื่นชอบเหมือนกัน เช่น ชอบตีกอล์ฟ เลี้ยงสัตว์ ออกกำลัง ฯลฯ ง่ายๆ แค่นี้เองครับ และจงหลีกเลี่ยงคำที่ฟังยากๆ หรือไม่เกี่ยวข้องกับคนคุย

3. ฟังคนอื่นพูดแบบจับใจความ

เวลาแนะนำตัวไปแล้วก็ถึงเวลาที่คุณต้องฟังคนอื่นอย่างตั้งใจ อย่าพูดแทรก จงฟังคำแนะนำตัวของคนแปลกหน้าให้จบเพื่อจับประเด็นให้ได้ว่าเขาเป็นใคร ทำอะไร ชอบงานอดิเรกแบบไหน หรืออยากรู้เพิ่มขึ้นด้วยการถามคำถาม เพื่อให้คุณหาจุดร่วมและถามต่อเนื่องจากคำบอกเล่าของคนแปลกหน้า คนคนนั้นจะรู้สึกเซอร์ไพรส์มากและอยากคุยกับคุณต่อ

4.เน้นการถามคำถามปลายเปิดเสมอ (Open-ended question)

พูดง่ายๆ ก็คือเวลาถามคนอื่นจงหลีกเลี่ยงคำถามสิ้นคิดแบบการถามแค่ ใช่หรือไม่ใช่ เช่น คุณเป็นนักธุรกิจใช่ไหม คำตอบที่ได้ก็คือ ใช่ครับ แล้วก็แค่นั้นเลยครับ จงเปลี่ยนการถามนิดหน่อยให้เป็นคำถามเพื่อให้คนคนนั้นบอกเล่าข้อมูลเยอะขึ้น เช่น ตอนนี้คุณทำธุรกิจอะไรครับ หรือ เกี่ยวกับอะไรครับ หรือ อย่างไรครับ รับรองว่าคำตอบที่ได้ย่อมทำให้คนคนนั้นอยากพูดกับคุณมากขึ้นตามสัญชาติญานของมนุษย์ครับ

5. แบ่งปันความปรารถนาหรือเป้าหมายทางธุรกิจที่ทะเยอทะยานและเป็นไปได้

เนื่องจากเป็นงานสัมมนาทางธุรกิจที่คนส่วนใหญ่มักเป็นนักธุรกิจเหมือนๆ กัน คนกลุ่มนี้ย่อมชอบฟังพลังบวกที่เป็นไปได้ สร้างสรรค์ ไหนๆ งานก็เสริมให้คุณกล้าที่จะพูดอยู่แล้ว ไม่ผิดที่จะพูดเรื่องความฝันหรือเป้าหมายหลังจากตอนแนะนำอาชีพการงานของคุณ เช่น ผมมีความตั้งใจพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายในสามปีเพราะตอนนี้เริ่มธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ประมานนึงแล้วครับ เป็นต้น เชื่อเถอะว่าใครๆ ก็อยากรับพลังบวกและน้อยรายมากที่จะหมั่นใส้คุณ

6. ฝึกการทำ Elevator Pitch ให้คล่อง

จริงๆ แล้วนี่คือเทคนิคการขายขั้นสูงอย่างนึง เปรียบได้กับการเจอลูกค้าตัวเป็นๆ ในลิฟท์และคุณมีเวลาคุยน้อยมากเพราะลิฟท์จะจอดแล้ว คุณจึงต้องแนะนำตัวว่าคุณทำอะไร ทำประโยชน์ให้พวกเขาอย่างไร และมั่นใจว่าจะเป็นคุณค่าแน่นอนถ้าพวกเขาหาเวลาคุยต่อกับคุณหลังจากนี้ แนะนำให้พูดตามสคริปต์ที่กล่าวมาภายใน 30 วินาทีก่อนลิฟท์จะเปิด เพราะงานคอนเนคชั่นเราหวังผลที่จะติดตามหรือทำนัดหลังจากงาน เพื่อให้ได้โอกาสในการได้นามบัตรและเข้าไปเปิดการขายต่อไป

7. เคารพเวลาผู้อื่นด้วย

เวลาคุยในงานแบบนี้ คุยนานไปก็ไม่ดีครับ ถ้าคุยพอหอมปากหอมคอ แนะนำตัวแล้ว แต่ละคนแลกเปลี่ยนประสบการณ์สั้นๆ เรียบร้อยแล้ว จงขอนามบัตรหรือไลน์เพื่อติดต่อหลังจากงาน และไม่ผิดที่จะเป็นฝ่ายตัดบทแบบสุภาพ เช่น “ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนเวลาคุณแล้วครับ” แบบนี้ถือว่ามืออาชีพและรับรู้ได้ว่าต่างฝ่ายจะได้ไม่เสียเวลาต่อกัน

8. หาจุดร่วมเดียวกันให้เจอ

จุดร่วมคือสิ่งที่คุณและเขามีประสบการณ์หรือรู้จัก ชื่นชอบ ในสิ่งเดียวกัน วิธีเช็คคือเวลาฟังพวกเขาเล่าอะไรมา ให้ฟังดีๆ ว่ามีอะไรที่คล้ายคลึงกัน เช่น เขาบอกว่าทำงานไอทีและคุณเองก็อยู่ในวงการไอที คุณก็เลยบอกว่าคุณเองทำเกี่ยวกับไอทีเหมือนกัน หรือเขาชอบตีกอล์ฟซึ่งคุณก็ชอบด้วย การสนทนาจึงกลายเป็นภาษากอล์ฟแบบต่อเนื่อง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีจุดร่วมที่ทำให้มิตรภาพนั้นง่ายขึ้น เช่น จบสถาบันเดียวกัน คนบ้านเดียวกัน รถยี่ห้อเดียวกัน เมียคนเดียวกัน (ไม่ใช่ละ ฮา..)

9. ดูเรื่องภาษากายให้ดี

วาจานั้นถ้าท่องมา ใครๆ ก็พูดได้ครับ แต่ภาษากายมันหลอกกันไม่ได้ ซึ่งภาษากายสำคัญจะมี ดวงตา ที่ต้องสบตาคู่สนทนาเป็นระยะๆ มองที่ตาและระหว่างคิ้วกับกะพริบตา เป็นระยะๆ ริมฝีปากที่มีรอยยิ้มแฝงความจริงใจ ดวงตาก็จะหยีๆ แบบมีตีนกา มือไม้แสดงถึงการเปิดเผย ไม่ปกปิด เช่น กุมมือที่เป้าเพื่อแสดงความนับถือ การไขว้หลังหมายถึงคุณเหยียดคนอื่นเช่นเดียวกับการกอดอก เป็นต้น ถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็ไปเปิดยูทูปดูตัวอย่างประกอบเอานะครับ

10. ติดตามผล

เรื่องนี้แม้แต่รุ่นใหญ่หรือมืออาชีพหลายคนมักตกม้าตาย ไม่ใช่ว่าพวกเขาห่วยนะครับ แต่บางทีการเจอหน้าคนใหญ่คนโตมากมายจนจำแทบไม่ได้มักเป็นปัญหาในภายหลังเพราะลืมนั่นเอง คุณจึงสร้างความแตกต่างด้วยการติดตามด้วยเทคโนโลยีง่ายๆ ทั่วถึงทุกคน เช่น ส่งอีเมลแนะนำตัวหรือส่งข้อความไลน์ไปหาหลังเลิกงาน โทรไปก็ได้ไม่ว่ากัน รับรองว่าพวกเขาประทับใจคุณไม่รู้ลืมแน่นอนเพราะคนอื่นในงานมักจะไม่ทำแบบนี้เลย

11. ฝึกฝนทักษะการจำให้มีความแอคทีฟเสมอ

เรื่องนี้แม้แต่ผมเองก็เคยพลาด ความจำที่ว่านั้นก็คือการจำชื่อของคนในงานให้ได้นั่นเอง มากไปกว่านั้นคือตอนเจอคนรู้จักในงานครั้งหน้า ถ้าจำชื่อพวกเขาได้คุณก็มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นแบบสุดๆ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts