สิ่งที่ผมเคยทำพลาดในฐานะนักขาย (และพวกคุณไม่ควรทำตาม)
กว่าจะมาเป็นเซลล์ร้อยล้าน ผมเองก็คือคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีพรสวรรค์หรือทำงานเก่งกาจอะไรมาตั้งแต่แรก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ประสบการณ์ ความเจ็บปวด และที่สำคัญที่สุดก็คือ “ความผิดพลาด” นั่นเองครับ
ความผิดพลาดคือสิ่งที่ทุกคนไม่อยากจะเจอ มันเป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกแย่ ทำให้คนรอบข้าง โดยเฉพาะทีมงานและหัวหน้างานรู้สึกผิดหวัง แทบทุกคนจะรู้สึก “กลัว” สิ่งนี้มาก เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับคนทำงานเลยก็ว่าได้
ผมเชื่อว่าคนทำงาน ไม่มีใครไม่เคยทำพลาด คนที่ไม่เคยทำพลาดคือคนที่ไม่ทำงานต่างหาก ความผิดพลาดคือสิ่งที่ดี เพียงแค่คุณวิเคราะห์และ “เรียนรู้” สิ่งที่คุณทำพลาด คุณจะเก่งและแกร่งขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังนำข้อผิดพลาดนี้ไป “ถ่ายทอด” ให้กับทีมงานคนอื่นๆ ได้อีกด้วย
นี่คือแก่นแท้ของคนที่ประสบความสำเร็จ นั่นคือพวกเขาแก้ไขและเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาดเหล่านั้นนั่นเองครับ มาเรียนรู้เคสความผิดพลาดของผมกัน เพื่อที่คุณจะได้ไม่ผิดพลาดอย่างผมครับ
1. หัวร้อนง่าย ทำงานด้วยอารมณ์
สมัยที่ผมเป็น Gen-Y จบใหม่ การเริ่มต้นทำงานในฐานะนักขายเป็นไปด้วยอารมณ์คึกคะนอง ทะเยอทะยาน จึงทำให้ “ความนิ่ง” ในฐานะคนทำงานนั้นหายไป ภาพลักษณ์ที่ฉายออกมาเลยกลายเป็นเด็กที่ทำงานด้วยอารมณ์ ขาดเหตุผล หลายครั้งที่มี “ความกดดัน” เข้ามาจากรุ่นพี่และหัวหน้างาน วุฒิภาวะที่ขาดไปทำให้ไม่สามารถรองรับความกดดันที่ถาโถมเข้ามาได้ ส่งผลให้เกิดการ “ระเบิดอารมณ์” เช่น ตาเริ่มขวาง หน้าเริ่มกวนตีน เถียงเจ้านาย-รุ่นพี่ ฯลฯ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมขาดความน่าเชื่อถือและขาดความไว้วางใจภายในทีม เริ่มถูกกดดันและต้องลาออก
การทำงานด้วยอารมณ์นั้นมีแต่ผลเสีย ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณยังเป็นเด็กและไม่มีประสบการณ์ ความนอบน้อม ใจเย็น เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเริ่มต้นการทำงาน การเปิดใจรับฟังและรับมือเกี่ยวกับความกดดันที่ดีจะทำให้คุณได้รับความเอ็นดูจากเพื่อนร่วมงาน พวกเขาจะมีความยินดีที่จะสอนคุณ ถ้าคุณทำงานผิดพลาด พวกเขาพร้อมที่จะให้อภัยและให้โอกาสคุณแก้ตัวเสมอ เพียงแต่คุณต้องก้มหน้าก้มตายอมรับผิดและแก้ไข กล้าขอโทษในสิ่งที่ทำผิดพลาดไป พยายามเป็นผู้ฟังที่ดี สุขุม สุภาพ นิ่ง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้โทรไปด่าหรือระบายกับครอบครัว เพื่อนที่ไม่ได้ทำงานบริษัทเดียวกัน หรือว่าแฟนก็พอแล้วครับ
2.บุกตะลุยเข้าไปหาลูกค้าโดยที่ไม่ได้ “โทรทำนัด” ล่วงหน้าก่อน
ผมเคยคิดไปเองว่าการโทรทำนัดล่วงหน้าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ อีกทั้งยัง “กลัว” ที่จะโดนปฎิเสธอีกด้วย ดังนั้นผมเลยบุกเข้าไปหาลูกค้าเองเลย ใช้ความหน้าด้าน ใจกล้า ของตัวเอง เผื่อว่าจะ “ฟลุ้ก” ได้เจอกับลูกค้าที่น่าจะเกี่ยวข้องกับสินค้าของเรา ซึ่งก็ได้เจอกับลูกค้าจริงๆ ครับ บางรายถึงขั้นปิดดีลได้เลย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปในเชิงลบมากกว่า ผมเคยโดนลูกค้าด่าให้เจ้านายฟังว่าสิ่งที่ผมทำมันดู “ไม่มืออาชีพ” อีกทั้งยังทำให้ลูกค้ารู้สึก “กดดัน” จากความหน้าด้านของผมเอง ลูกค้าไม่ได้ชอบผมเลยด้วยซ้ำ ผมโดนเข้าห้องเย็นยาวเลยทีเดียว
การที่บุกเข้าไป “เคาะประตู” ลูกค้าถึงบริษัท สิ่งทีเป็นผลเสียคือคุณจะกลายเป็นเซลล์ถือกระเป๋าที่ด้อยค่าและดูไม่มืออาชีพทันที ภาพลักษณ์จะเป็นเหมือนเซลล์นักตื๊อ แถมยังมีสิทธิ์ “ว่าว” สูงอีกด้วย เพราะเป็นไปได้ว่าลูกค้าที่มีอำนาจตัดสินใจหรือตรงกับคุณอาจจะไม่ว่างหรือไม่อยู่ คุณจะเสียทั้งเวลาและค่าน้ำมัน แถมยังเหนื่อยและต้องทนกับความหน้าด้านของตัวเองให้ได้ ดูๆ แล้วน่าจะได้ไม่คุ้มเสีย ไม่ควรทำนะครับ เสียเวลาเปล่า แถมดูไม่โปรอีกด้วย ทางที่ดีคือโทรทำนัดแบบพื้นๆ นี่แหละครับ ดูโปรแถมยังโทรไปวันละเป็นสิบสายด้วย
3. สังสรรค์กับที่ทำงานมากเกินไป
อาชีพนักขายของผมก่อนหน้านี้ “คลุกคลี” กับการกินเหล้า ปาร์ตี้ สีหญิง มากเป็นพิเศษ เพราะความที่กำลังตื่นเต้นกับงาน ไปกินกับลูกค้า หรือบางทีต้องการ “เอาใจ” หัวหน้าและลูกพี่มากเกินไป จึงทำให้ไม่เกี่ยงและรู้สึกสนุกทุกครั้งเวลาไปกินเหล้าครับ แถมหลายๆ ครั้งยังกินฟรีซะด้วยสิ (ฮา) แต่หารู้ไม่ว่าผมกำลังทำพลาดอีกครั้ง ด้วยสังคมแบบมนุษย์เงินเดือนเหมือนๆ กัน การที่ให้รุ่นพี่หรือหัวหน้า “ออกตัง” ให้บ่อยๆ ย่อมทำให้ลึกๆ แล้วพวกเขาไม่พอใจ รายได้จะไม่พอใช้เอา สุดท้ายคุณก็จะเริ่มถูกเกลียดขี้หน้าโดยคนในทีม หรือต่อให้คุณมีตังเยอะ ออกทุกครั้ง กิจกรรมพวกนี้จะบั่นทอนรายได้ของคุณไปเยอะ สุดท้ายก็กลายเป็นมนุษย์เดือนชนเดือน
นอกจากนี้การกินเหล้ายังทำให้คุณไม่ได้อะไร ตื่นเช้ามาอีกวันก็แฮงค์ เซลล์สมองเริ่มเสื่อม ง่วงหนาวหาวนอน ทำงานไม่ได้เรื่อง ความล้าจะสะสมเข้าไปทุกวัน ทำให้คุณทำงานห่วยลง ประสิทธิภาพในการสื่อสาร พูดจา ลดน้อยลง พูดง่ายๆ ก็คือห่วยทั้งร่างกายและจิตใจ แถมยังทำให้คุณกลายเป็นโรค “ทรัพย์จาง” อีกด้วย คุณควรแบ่งเวลาปาร์ตี้ให้พอดี แต่เอาจริงๆ นะครับ ไม่ไปคุณก็ไม่โดนไล่ออก ถ้าขายของได้ดี โดยที่ไม่ได้ไปปาร์ตี้เลย เจ้านายย่อมรักคุณอยู่ดีครับ ต่อให้เขาไม่เห็นหัว ซักวันคุณก็ถูกดึงตัวไปอยู่ที่ใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณมากกว่าอยู่ดีแหละ
4. ไม่ใส่ใจกับรายงานการขาย ไม่อัพเดทเซลล์รีพอร์ท
เรื่องนี้คือจุดตายของผมเมื่อก่อนเช่นกัน คือผมเป็นคนขี้เกียจอัพเดทเซลล์รีพอร์ทมาก ชอบมีข้ออ้างต่างๆ นานานั่นคือขายได้อยู่แล้ว หรือจำรายละเอียดลูกค้าได้หมด ไม่มีความจำเป็นต้องอัพเดทแต่อย่างใด หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วผมนั้นจำได้ไม่หมดหรอก ลูกค้าบางเจ้าที่เคยเข้าไป พอเข้าหลายๆ เจ้าก็ลืมหมด จำอะไรไม่ได้ จึงทำให้ “การตามงาน” ไม่มีประสิทธิภาพ แถมยังแจ้งลูกค้าที่จะปิดได้อย่างไม่มีความแม่นยำ กลายเป็นเซลล์กะหลั่ว อัพเดทสั่วๆ สุดท้ายก็ปิดไม่ได้ เพราะไม่เคยอัพเดทสถานะลูกค้าให้ทันทีและตามงานไม่ครบนั่นเอง เซลล์รีพอร์ทจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผมและนักขายทุกคน
5. มโนไปเองว่าตัวเองเก่ง
ข้อสุดท้ายคือจุดตายที่นักขายที่ฟอร์มเริ่มขึ้นหม้อ ขายดี นั่นคือการ “คิดไปเอง” ว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเจ๋ง สุดท้ายคุณจะเริ่มไม่ฟังใคร เริ่มไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บางทีมานั่งกางดูรายละเอียด ปรากฎว่าที่ยอดขายดีในช่วงนั้นๆ เป็นเพราะตัวเองโชคดี ได้ลูกค้ากระเป๋าหนักที่ทำเงินให้กับคุณสม่ำเสมอ หรือได้มรดกจากเซลล์คนเก่าหรือหัวหน้าที่ชอบคุณเป็นพิเศษในการป้อนลูกค้าดีๆ มาให้คุณดูแล ทำให้คุณได้ยอดขายแบบง่ายๆ และถูกคำยกยอปอปั้นรอบตัวว่าคุณเก่ง คุณจึงเริ่มเหลิง ทั้งๆ ที่ถ้าเขาให้คุณไปหาลูกค้าใหม่ซิงๆ โดยที่ไม่พึ่งคอนเน็กชั่นใดๆ คุณอาจจะเป็นเซลล์กระจอกที่ไม่ได้เรื่องก็ได้ครับ เซลล์กลุ่มนี้ถ้าย้ายไปทำงานที่อื่นหรือให้ขายของใหม่ส่วนมากจะล้มเหลว เพราะจริงๆ แล้วไม่ได้เก่งและทำงานแบบเป็นขั้นเป็นตอนไม่เป็นนั่นเอง เก่งแต่เลียอย่างเดียว
เรียนรู้ความผิดพลาดจากผมได้เลยครับ คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาผิดพลาดและไม่ทำงานผิดเหมือนผม
Comments
0 comments