ถ้าอยากเป็นสุดยอดผู้จัดการทีม ต้องลดอีโก้ลงมาให้ได้

“พลังที่ยิ่งใหญ่ มากับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง” (สไปเดอร์แมนกล่าว) ซึ่งคำกล่าวนี้คงไม่ผิดแต่อย่างใดก็ต่อเมื่อคุณได้รับพลังอำนาจนั้นจากการถูกโปรโมตหรือถูกดึงตัวให้ดำรงตำแหน่งในระดับผู้จัดการ ผู้บริหาร ซีอีโอ ครับ

แน่นอนว่าบริษัทชั้นนำคงไม่ “ซี้ซั้ว” คัดคนที่ไร้ความสามารถหรือว่าเป็นแค่ “ของปลอมทำเหมือน” แล้วมานั่งตากแอร์เย็นๆ ไปวันๆ ชี้นิ้วสั่งลูกน้องอย่างแน่นอน แต่การคัดเลือกคนระดับนี้ขึ้นมา ย่อมคัดสรรคนที่มีความสามารถสูงแถมยังต้องมีภาพลักษณ์ การศึกษา อายุ วุฒิภาวะ ประสบการณ์ ผลงานที่ผ่านมา เป็นส่วนประกอบหลักอีกด้วย

ทำให้ผู้คนระดับผู้จัดการแบบมืออาชีพคงต้องเป็นพวก “เสือ สิงห์ กระทิง แรด” และในเมื่อพวกเขามีความสามารถสูงขนาดนั้น กว่าจะมาถึงขั้นนี้ พวกเขาย่อมมีผลงานระดับท็อป มีความมั่นใจ มีบุคลิกของคนที่ประสบความสำเร็จ มีทักษะความเป็นผู้นำ ซึ่งฟังเผินๆ ก็เหมือนจะดี เพอร์เฟคขนาดนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องปรับปรุงกันแล้วล่ะมั้ง

แต่เพราะการมีทักษะที่เปี่ยมล้นขนาดนี้นี่แหละครับที่ทำให้พวกเขามี “พลังด้านมืด” ซึ่งก็คือคำว่าอีโก้ (EGO) ที่มันจะทำลายคนคนนั้นให้กลายเป็นคนที่หยิ่งยะโส โอหัง เสียหน้าไม่ได้ แพ้ไม่เป็น ไร้ความปรานี ชอบดูถูกคน จนบางครั้งถึงกับใช้อารมณ์เหนือเหตุผลเพราะยังถือว่าตัวเองมีอำนาจที่ใหญ่กว่าลูกน้อง

ผลก็คือลูกน้องทำงานอย่างไร้ความสุขจนกลายเป็นปัญหาเรื่องการลาออกของพนักงาน สภาพจิตใจโดยรวมแย่ ทำให้การขายขาดประสิทธิภาพที่ดี สอนงานไม่ได้ เผลอๆ โดนก่อหวอดจากลูกน้องในการขับไล่หรือร่วมมือกันล้มคุณลงมา หรือว่าเป็นตอนที่คุณพลาด พวกเขาจะไล่บดขยี้คุณจนแทบไม่เผาผีเลยล่ะครบ

ผมจึงอยากเขียนเรื่องนี้มากๆ เพราะคำว่าอีโก้เป็นคำที่เจ้าตัวมักไม่รู้ว่าตัวเองมีอาการ คนอื่นโดยเฉพาะลูกน้องมักจะเป็นคนที่มีความรู้สึกแบบนั้น ทำให้จะเตือนหรือสอนก็ไม่ได้เพราะเป็นลูกน้อง หรือถ้าเจ้านายของผู้จัดการอีกทีไม่ใส่ใจและไม่ทันสังเกตเห็นก็จะไม่มีใครสอนหรือตักเตือนพวกเขาได้ สุดท้ายก็เป็นสุดยอดผู้จัดการไม่ได้ซักที ผมจึงขอแนะนำวิธีให้คุณลดอีโก้ลงมา ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนมีอีโก้สูงก็ต้องอ่านบทความนี้เลยนะครับ

1. ถามตัวเองก่อนว่าเคยมีอาการของคนมีอีโก้สูงหรือไม่

ลองตรวจเช็คตัวเองนะครับว่าคุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่

– มีความรู้สึกว่าคนอื่นไม่ได้เก่งเท่าคุณในหลายๆ กรณี

– ชอบพยักหน้าหงึกๆ เวลาคนอื่นพูดถึงตัวเองเพื่อให้คนรีบๆ พูดให้จบซักที

– เข้ากับใครไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยมีกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่แท้จริง มักจะไปกินข้าวกลางวันคนเดียว

– มั่นใจความคิดและศักยภาพของตนเองมากในทุกขั้นตอนของการทำงาน คิดว่าตัวเองไร้จุดอ่อน

– เชื่อมั่นว่าคนที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นคือผู้ชนะ

– มักตัดสินคนอื่นจากเหตุการณ์เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง โดยเฉพาะกับลูกน้องของตัวเอง

– ไม่ชอบให้คนอื่นมาแตะ ติ ทัก เรื่องที่ตัวเองเก่ง

– รู้สึกเซ็ง โกรธ เบื่อทุกครั้งที่มีคนมาสอนเรื่องที่ตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว หรือฟังไปก็ขอบคุณเพื่อตัดจบแล้วก็ไม่ทำอะไร

– มีข้อโต้แย้งกับทีมงานอยู่เป็นประจำ ยกเว้นกับลูกค้าเพียงแค่คนเดียว

– ชอบพูดปกป้องตัวเองอยู่เป็นประจำเวลาโดนวิพากษ์วิจารย์

ถ้าการทำงานของคุณเคยมีประสบการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น คุณมีแน้วโน้มว่าจะเป็นคนที่มีอีโก้สูงแล้วล่ะครับ คุณอาจจะทำงานได้ดีแน่นอน แต่คุณก็จะเป็นคนเก่งที่ไร้เพื่อน ไร้ผู้สนับสนุน จึงเป็นได้แค่ผู้จัดการที่เก่ง แต่ก็เท่านั้น เพราะคนที่เก่งจริงจะต้องมีกองหนุนจากลูกน้องหรือผู้จัดการคนอื่นที่ผลักดันและส่งเสริมคุณให้ไกลขึ้นด้วย ยังโชคดีสำหรับคุณที่ยังรู้ตัวในตอนที่ยังไม่สายเกินไปหลังจากการอ่านบทความนี้ของผม คุณยังสามารถปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นได้แน่นอนครับ

2. ท่องไว้เสมอว่าต่อให้คุณเจ๋งแค่ไหน ก็เป็นได้แค่กบในกะลาของโลกนี้

อย่างที่พููดไว้นั่นแหละครับ ต่อให้คุณได้ถูกดันเป็นผู้จัดการบริษัทยักษ์ใหญ่ เป็นเอ็มดีบริษัท เป็นเจ้าของบริษัทระดับร้อยล้านพันล้านอะไรก็ช่าง จงจำไว้ครับว่ายังไงโลกนี้ก็มีคนที่ “เจ๋งกว่าคุณ” ยังมีคนอีกหลายบทบาทหน้าที่ของทั้งโลกนี้ เช่น นักฟุตบอลแข้งพันล้านที่เป็นคนเฟรนลี่แบบเดวิด เบคแคม โคตรพ่อซีอีโอที่ใช้ชีวิตแบบง่ายๆ แบบเฮียมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์กของเฟซบุ้ค แจ็ค หม่าแห่งจีน ที่นอกจากจะโคตรรวย โคตรประสบความสำเร็จแล้ว แต่ก็ยังแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้ชาวโลกได้รับรู้อยู่เสมอด้วย ในเมื่อโลกนี้มีคนที่ต่อให้คุณคิดว่าตัวเองแน่ยังไง ก็ยังมีคนที่เจ๋งและไม่มีอีโก้มากมายเท่าคุณอยู่ดี ถามจริงเหอะว่าจะยึดติด “อัตตา” ของตัวเองไปทำไมครับ

3. เปิดใจคุยกับลูกน้องแบบตัวต่อตัวและเน้นหัวข้อเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคิดกับคุณ

เป็นเรื่องที่ดีมากๆ และถือว่าเป็นการเอาชนะใจของตัวเองได้ด้วย ลองเป็นฝ่ายนัดลูกน้องให้เข้ามาพูดเกี่ยวกับตัวคุณแบบเปิดอก โดยเฉพาะสิ่งที่พวกเขายังเห็นว่าคุณควรปรับปรุงหรือต้องการเสนอแนะให้คุณทำงานให้ดีขึ้น คุณจะต้องสั่งตัวเองให้เป็นผู้ฟังที่ดี รับให้ได้กับความผิดหวังหรือความจริงที่คุณไม่อยากฟัง เอาตีนเหยียบอัตตาหรือความรู้สึกต่อต้านของคุณให้ได้ มันจะฝืนๆ หน่อย แต่ถ้าผ่านมันไปได้ จงจดทุกอย่างที่ลูกน้องอยากให้คุณปรับปรุง แล้วลงมือทำทันที เช่น ลูกน้องมองว่าคุณไม่มีความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิคของสินค้าและอยากให้คุณปรับปรุง คุณจึงขอบคุณและทำการเรียนรู้ความรู้เชิงเทคนิคของสินค้าวันพรุ่งนี้ทันที เป็นต้น

4. สนใจและใส่ใจคนอื่น โดยเฉพาะลูกทีมของคุณ

อยากจะลดอีโก้และเป็นคนที่รักของคนอื่นให้ได้ ถึงแม้ว่าคุณจะรู้ตัวเองดีว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเสน่ห์ ไม่ใช่คนเฮฮาอะไรมากนัก จงลองเป็นฝ่ายเข้าหาคนอื่นให้มากขึ้น แม้แต่คนทำงานแผนกอื่นด้วย เริ่มต้นง่ายๆ ได้เลยดังนี้

– จดจำชื่อและทักคนอื่นด้วยชื่อของพวกเขาเสมอ

– เวลาคุยก็สบตาและกระพริบตาไปด้วย อย่านั่งกอดอกหรือไขว่ห้างคุย ซึ่งถือว่าเป็นภาษากายสำหรับคนมีอีโก้

– เป็นฝ่ายถามเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขาด้วยการสังเกตง่ายๆ เช่น ถามเรื่องความชอบส่วนตัว เป็นต้น

– เป็นฝ่ายชมและขอบคุณทุกคนก่อนทุกครั้ง จงพูดคำว่าดีมาก เยี่ยมมาก ขอบคุณมาก บ่อยๆ แบบไม่ตอแหล

นี่คือวิธีทำให้คุณเป็นผู้ฟังที่ดีมากขึ้น การเป็นฝ่ายเข้าหาคนอื่นนอกจากเรื่องงานจะทำให้คุณเป็นคนที่ใส่ใจกับคนอื่นมากยิ่งขึ้น อีโก้ของคุณจะลดลงมาโดยที่คุณไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ

5. จงรู้ไว้เสมอว่าศัตรูอันดับหนึ่งของการเป็นผู้นำที่ดีก็คืออีโก้

ถ้าลดเรื่องนี้ลงไปไม่ได้ คุณไม่มีทางเป็นสุดยอดผู้นำได้แน่นอนครับ ดังนั้นคุณจะมัวยึดติดกับตัวตนของตัวเองไปทำไมครับ ตัวอย่างก็มีไม่ว่าจะเป็นจากหนัง ละคร เรื่องจริงของคนมีชื่อเสียง อีโก้จะคอยบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือระหว่างคุณกับทีมงานไปเรื่อยๆ แถมยังแก้ยากอีกต่างหาก สุดท้ายก็มีคนเกลียดแล้วไม่มีใครเอา เผลอๆ คุณเองนี่แหละที่เป็นตัวปัญหาและพอผลงานเริมไม่สู้ดี คุณอาจโดนเลื่อยขาเก้าอี้เลยโดนคนนอกที่เก่งกว่าและเป็นคนคิดบวก เข้ากับคนอื่นได้ดี เป็นคนง่ายๆ เสียบตำแหน่งของคุณแทนนี่แหละครับ

นี่คือวิธีการลดอีโก้เพื่อให้คุณเป็นสุดยอดผู้นำให้ได้ ผมเองก็กำลังฝึกอยู่ทุกวันเช่นกันครับ เพราะยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว อัตตาคงกลืนกินเข้าไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างนั่นเองครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น