ใช้ได้กับทุกอาชีพ..วิธีทำให้คนอื่นชื่นชอบคุณ
ไม่มีใครไม่อยากเป็นคนที่คนอื่นไม่ชอบ ต่อให้คุณมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่แคร์สื่อ ไม่แคร์โลก แต่ลึกๆ แทบทุกคนย่อมไม่อยากเป็นคนที่ถูกนินทา มีแต่คนไม่ชอบขี้หน้า แทบทุกคนย่อมรู้สึกดีถ้าตัวเองเป็นคนที่มีแต่คนเข้าหา พูดคุย นิยมชมชอบ ยอมรับนับถือ
การเป็นคนมีเสน่ห์ มีแต่คนชื่นชอบ เข้าหา ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชีวิตของคุณมีความสุข มีแต่คนยอมรับนับถือ ให้เกียรติ ให้ความช่วยเหลือ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการพาคุณไปสู่ความสำเร็จและมีความสุข
สำหรับนักขายและนักธุรกิจ หากรู้จักฝึกฝน พัฒนาตัวเองในเรื่องของการบริหารเสน่ห์ รู้สึกดีกับตัวคุณ ชื่นชอบและมอบความไว้วางใจให้กับคุณมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถปิดการขายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
มาดูวิธีทำให้คนอื่นชื่นชอบคุณกันครับ
1. จำชื่อของคนที่คุณรู้จักให้ได้ และทักทายด้วยชื่อของพวกเขาเสมอ
ทราบไหมครับว่า ‘ชื่อ’ คือเสียงที่ไพเราะที่สุดสำหรับพวกเขา โดยเฉพาะถ้าคุณเรียกด้วยชื่อจริงด้วยยิ่งดี สำหรับการทักทายแบบกึ่งทางการเมื่อรู้จักกันเป็นครั้งแรก จงพยายามจำชื่อพวกเขาให้ได้ ถ้าจำไม่ได้จริงๆ คุณสามารถออกตัวขอโทษคู่สนทนาและถามชื่อของพวกเขาอีกครั้ง การเมมชื่อลงในโทรศัพท์มือถือทันทีก็เป็นอีกวิธีนึงที่จะทำให้คุณช่วยจำชื่อพวกเขาได้ง่ายขึ้น
สำหรับนักขายและนักธุรกิจ เมื่อถึงเวลาที่คุณแลกนามบัตรกับลูกค้าในการพบกันครั้งแรก คุณควรอ่านชื่อจริงของลูกค้าตามนามบัตรและออกเสียงให้ชัดเจน พร้อมกับขอถามชื่อเล่นลูกค้าเพื่อใช้เรียกชื่อให้มีความเป็นกันเองมากขึ้น และจงใช้ปากกาเขียนชื่อเล่นลูกค้าบนนามบัตรทุกครั้ง สิ่งเหล่านี้จะแสดงออกถึงความใส่ใจและทำให้ลูกค้าเปิดใจ
2. เมื่อเจอหน้ากัน ถามคำถามที่ดีเพื่อแสดงการให้ความสนใจต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ
วิธีนี้เป็นสำคัญที่สามารถเอามาประยุกต์จากทักษะการขาย มาใช้กับบุคคลรอบข้างได้ การเป็นฝ่ายเริ่มถามคำถามที่ดีก่อนนั้นจะช่วยเปิดโอกาสให้คู่สนทนาเปิดใจกับคุณมากยิ่งขึ้น คำถามที่ควรถามควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคู่สนทนาอย่างจริงใจและเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
คำถามที่ดีควรเป็นคำถามที่เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในตัวเขาที่ทำให้คู่สนทนานั้นรู้สึกภูมิใจ มั่นใจ ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะถ้าถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวความสำเร็จ วิธีการ ความรู้ ความชื่นชอบ ทักษะส่วนบุคคลที่คู่สนทนาทำได้ดี เป็นต้น จะทำให้คู่สนทนารู้สึกเปิดใจและชื่นชอบคุณมากเป็นพิเศษ
พยายามหลีกเลี่ยงคำถามที่ทำให้คู่สนทนารู้สึกเสียหน้า คำถามเกี่ยวกับเรื่องลบๆ คำถามที่ไม่มีประโยชน์ทั้งตัวคนถามและผู้ถูกถาม คำถามไร้สาระ เพราะบางทีคุณอาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ว่าคู่สนทนารู้สึกรำคาญหรือไม่อยากคุยกับคุณ สิ่งนี้จะเป็นผลเสียระยะยาวในเรื่องของความชื่นชอบในตัวคุณ
3. จงฟังเป็นนักฟังจับใจความให้ดี
ธรรมชาติของคนส่วนใหญ่มักชอบพูดมากกว่าฟัง ไม่ว่าใครก็ชอบพูดเรื่องของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ ความรู้ ความสามารถ ฯลฯ แต่มันคงแปลกมากถ้าทุกคนมัวแต่พูดเรื่องของตัวเองเท่าที่อยากจะพูด โลกนี้คงวุ่นวายเพิ่มขึ้นแน่นอน
คุณจงหันมาเป็น ‘คนส่วนน้อย’ นั่นคือการเปลี่ยนจากเป็นผู้พูดมาเป็นผู้ฟังที่ดี และการฟังทุกครั้งควรจับใจความของคู่สนทนาอย่างตั้งใจ ควรแสดงภาษากายที่ดีเช่น การพยักหน้า การขยับตัวเข้าไปฟังให้ใกล้ขึ้น หรือการถามคำถามที่สร้างความต่อเนื่องให้กับสิ่งที่ผู้พูดได้พูดออกมา เช่น ตอบอืมๆ แล้วไงต่อ ว่าต่อเลย เรื่องที่พูดเมื่อสักครู่มันเกิดขึ้นได้ยังไงนะ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ฯลฯ
สังเกตไหมครับว่าคล้ายๆ กับการเข้าพบลูกค้าและถามคำถามเลยทีเดียว สำหรับลูกค้าคือการถามที่เราต้องทำให้พวกเขาคายข้อมูลออกมาให้มากที่สุด เพื่อการนำเสนอสินค้า ส่วนคนอื่นที่เราอยากให้เขาชอบคือการถามเพื่อรู้จัก ‘ตัวตน’ ของคู่สนทนาให้มากที่สุด และทำให้คู่สนทนารู้สึกอยากคุย เปิดใจ มองคุณในแง่ดี เพิ่มขึ้นไปด้วย
4. จงพูดให้น้อยกว่าฟัง
วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายสำหรับคนที่รู้ตัวและพิจารณาตัวเองว่าเป็น ‘คนที่พูดมาก’ สามารถแก้อาการของ ‘คนขี้โม้’ ได้ดีอีกด้วย เพียงแค่คุณหุบปากแล้วหันมาตั้งใจฟังสิ่งที่คู่สนทนาพูดจะดีกว่า เพราะจุดอ่อนของคนที่พูดมากและพูดเก่งคือบางทีอาจจะหลุดหรือพล่ามมากเกินไป ทำให้คู่สนทนารู้สึกไม่ดีและมองคุณว่าเป็นพวกขี้โม้ พูดจาไม่รู้เรื่อง
ในเมื่อคนส่วนใหญ่ชอบพูดมากกว่าฟังอยู่แล้ว ดังนั้นคุณต้องฟังให้มากกว่าพูด พยายามประเมินตัวเองตลอดเวลาว่าสัดส่วนการคุยระหว่างคุณกับคู่สนทนามีอัตราส่วนคนละกี่ % จำนวนที่พอเหมาะคือ คุณ 30% คู่สนทนา 70% ซึ่งหลักการคล้ายๆ กับตอนนำเสนอสินค้าให้กับลูกค้าเลย ถ้าคุณมั่วแต่หลับหูหลับตานำเสนอ ไม่รู้จักถามคำถามเพื่อเพิ่มสัดส่วนการคุย ลูกค้าก็จะเริ่มเบื่อ สไลด์มืถือ และไม่รู้สึกว่าการเข้าพบในครั้งนี้มีประโยชน์อะไรกับตัวเขาเลย
5. แนะนำคู่สนทนาให้คนอื่นรู้จักแบบมีศิลปะ
นี่คือการสร้างเสน่ห์แบบง่ายๆ ให้กับคู่สนทนาของคุณเมื่อถึงจังหวะที่คู่สนทนานั้นคุยกับคุณ และจู่ๆ มีบุคคลที่สามที่คุณรู้จักได้เข้ามาทักทายคุณ คุณจงรู้จักการแนะนำคู่สนทนาให้บุคคลที่สามได้รู้จักด้วยแบบมีศิลปะ
วิธีการนั้นก็ง่ายๆ คุณต้องเป็นผู้แนะนำตัวผู้สนทนาให้กับบุคคลที่สามทุกครั้ง จงบอกชื่อของคู่สนทนาให้ชัดเจน บอกตำแหน่งหรืออาชีพที่ทำว่าเขาทำอะไร และจงอย่าลืมพูดสิ่งดีๆ เกี่ยวกับคู่สนทนาให้บุคคลที่ 3 ได้ฟัง เรื่องที่คุณควรแนะนำคือสิ่งที่ทำให้บุคคลที่ 3 รู้สึกให้เกียรติ ควรเป็นเรื่องที่คู่สนทนาภูมิใจ มีเกียรติ เช่น
ในขณะที่คุณกำลังคุยกับคู่สนทนา จู่ๆ มีบุคคลที่ 3 ที่คุณรู้จักเดินเข้ามาทักคุณพอดี
บุคคลที่ 3: สวัสดีครับคุณ xxx (ในขณะที่คุณกำลังคุยกับคู่สนทนา)
คุณ: สวัสดีครับคุณ xxx เป็นยังไงบ้างครับ ช่วงนี้
บุคคลที่ 3: สบายดีครับ แล้วคุณล่ะ มาทำอะไรแถวนี้
คุณ: ผมผ่านมาแถวนี้พอดีกับเพื่อนผมครับ จึงขอแนะนำเพื่อนผมให้คุณรู้จักนะครับ เพื่อนผมชื่อ xxx เขาเป็นเซลล์ แมแนเจอร์ของบริษัท Fujitsu ซึ่งเขาเป็นนักขายที่เก่งมาก มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมรถยนต์ครับ
บุคคลที่ 3: ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ xxx
คู่สนทนา: (ยิ้มภูมิใจอยู่ในใจ เพราะคุณแนะนำเขาอย่างมีศิลปะ)
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าคุณไม่ได้ทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ไอ้งั่ง การแนะนำที่ดีจะทำให้คู่สนทนาของคุณรู้สึกดี ไม่ได้เป็นแค่ส่วนเกิน และรู้สึกว่าคุณเป็นคนสำคัญ เพราะคุณรู้สิ่งที่ดีในตัวของคู่สนทนา
นักขายหรือนักธุรกิจก็สามารถเอาเทคนิคนี้ไปใช้ได้นะครับ เช่น ตอนเข้าพบลูกค้าและคุณมากับทีมงานหลายคน คุณจงเป็นผู้เริ่มแนะนำตัวทีมงานของคุณทีละคน บอกชื่อ ตำแหน่ง ความเชี่ยวชาญและสิ่งที่เป็นประโยชน์กับลูกค้า เรื่องง่ายๆ แค่นี้จะทำให้คุณได้ใจทีมงานขึ้นเป็นกอง แถมทำให้ลูกค้าให้ความน่าเชื่อถือกับทีมงานคุณมากขึ้นด้วย
6. หัดชมเชยและแสดงความยอมรับนับถืออย่างจริงใจ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณควรทำกับทุกคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง เพื่อน แฟน ฯลฯ หรือแม้แต่คนที่คุณไม่ชอบขี้หน้าก็ตาม
ถ้าพวกเขาทำอะไรดีๆ หรือประสบความสำเร็จในเรื่องของพวกเขา สิ่งที่คุณควรทำคือการกล่าวชมและนับถืออย่างจริงใจ ชมทุกคนที่อยู่รอบตัวคุณ ยิ่งสมัยนี้มีเฟสบุ้ค คุณสามารถชมเชยอย่างง่ายๆ ด้วยการกดไลค์หรือเข้าไปคอมเม้นท์แสดงความยินดี ถ้าพวกเขาทำเรื่องดีๆ มาล่ะก็ จงอย่าลืมกดไลค์และเม้นชมเชยด้วยนะครับ เรื่องเล็กๆ พวกนี้มีผลทางใจมาก มันจะช่วยให้พวกเขาจดจำคุณได้และรู้สึกดีกับคุณมากขึ้น
สำหรับนักขายหรือนักธุรกิจก็หมูๆ เลย ถ้าอยู่กับลูกค้า คุณควรกล่าวชมธุรกิจที่ลูกค้าทำอย่างจริงใจ ซึ่งผมรู้ว่าพวกคุณทำได้ดีเพราะนักขายมืออาชีพจะต้องรู้จักชมเชยและนับถือลูกค้าของพวกคุณอยู่แล้ว
ศิลปะการผูกมิตร และจูงใจคน : How To Win Friends & Influence People
หนังสือในตำนานของ Dale Carnegie ที่ทุกคนต้องอ่าน
7. พยายามอย่าพูดแต่เรื่องของตัวเอง ควรมีความลึกลับในระดับนึง
การพูดกับผู้อื่น โดยเฉพาะกับคนที่รู้จักกันไม่นาน ยังไม่สนิท สิ่งที่คุณควรระวังคือการพูดแต่เรื่องของตัวเองมากเกินไป ความจริงก็คือไม่มีใครอยากรู้เรื่องของคุณหรอกครับ ถ้าคนอื่นไม่ได้ถาม เช่น เล่าเรื่องสถาบันที่เรียนจบอย่างละเอียด ปัญหาทางบ้าน เล่าเรื่องแฟน เงินที่ได้ ประเทศที่ไปเที่ยว หน้าที่การงาน ความสำเร็จ ฯลฯ
คุณจะมีความเสี่ยงในการถูกตัดสินว่าเป็น ‘คนขี้อวด’ ทันที ถ้าพวกเขาไม่ได้ถาม จงอย่าเล่าด้วยสีหน้าอันภาคภูมิใจ หรือมัวแต่พูดเรื่องลบๆ ทีเป็นเรื่องส่วนตัว เช่น แฟน ครอบครัว งาน เงิน ฯลฯ เพราะคุณจะถูกตัดสินว่าเป็นคนคิดลบที่มีแต่ข้ออ้างทันที การหยุดพูดเรื่องของตัวเองแล้วหันมาสนใจเรื่องของคนอื่นจะสร้างความชื่นชอบในตัวคุณมากๆ
ถ้าคู่สนทนาถามเกี่ยวกับตัวคุณ จงเล่าเพียงพอประมาณก็พอแล้ว ไม่ต้องลงลึก สิ่งนี้จะช่วยสร้างความลึกลับ น่าค้นหาในตัวคุณมากยิ่งขึ้นด้วย กลายเป็นคู่สนทนาเปิดใจและให้ความสนใจคุณโดยที่คุณไม่ต้องออกแรงอะไรมาก นอกจากนี้ วิธีนี้ยังใช้ได้ผลถ้าคุณกำลังจีบสาวด้วย (ยิ้ม..)
8. ทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าพวกเขามีความสำคัญอย่างจริงใจ
ผมจะยกตัวอย่างให้คุณเก็ตได้ง่ายๆ นะครับ
สมมติว่าคุณมีเพื่อนเป็นพนักงานเช็ดกระจกตามตึกสูง และคุณต้องการทำให้เพื่อนของคุณมีความสำคัญให้กับเพื่อนของเพื่อนได้รู้จัก ลองมาดูวิธีแนะนำแบบ A และ B กันนะครับ
แบบ A: เราขอแนะนำเพื่อนชื่อ xxx เขาทำงานเป็นพนักงานเช็ดกระจกตามตึกสูง
แบบ B: เราขอแนะนำเพื่อนชื่อ xxx เขาทำงานเป็นพนักงานเช็ดกระจกของสำนักงานชื่อดังในกรุงเทพ เช่น ตึก Empire Tower ตึก All Season Place ตึก Park Venture ซึ่งแต่ละตึกนั้นสูงมากและมีคนที่เชี่ยวชาญน้อยมาก เพื่อนของผมเป็นหนึ่งในพนักงานเช็ดกระจกที่เช็ดตึกทั้งสามตึกมาแล้ว
จาก A และ B คุณเห็นความแตกต่างไหมครับ แบบ A ฟังดูก็เหมาะสมดี ข้อมูลก็ครบถ้วน แต่ยังฟังดูธรรมดาเมื่อเทียบกับแบบ B ซึ่งสร้างความสำคัญในตัวของเพือนคุณแบบการเล่าเรื่อง (Story Telling) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบุคคลที่ 3 ที่มีต่อเพื่อนของคุณ และทำให้เพื่อนของคุณรู้สึกภาคภูมิใจ พวกเขาจะนับถือคุณไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องบอกต่อหน้าคุณด้วยซ้ำ สิ่งที่ควรพูดควรเป็นเรื่องจริง เพราะความจริงนั้นจริงใจอยู่แล้ว
9. พยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุยที่เป็นการนินทาผู้อื่น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้คุณกลายเป็น ‘หมา’ ได้ทันที ถ้ามีคนคาบเรื่องที่คุณนินทา โดยเฉพาะการนินทาผู้อื่นให้คนนั้นฟัง ถ้าคนที่คุณนินทานั้นรู้ งานคุณจะเข้าทันทีเพราะคุณจะโดนเอาคืนตั้งแต่ระดับพื้นๆ เช่น ไม่ชอบคุณ ไม่คุยกับคุณ ไปจนถึงขั้นเลวร้ายคือการโดนตามมา ‘ตบหน้า’ ได้เลย (ฺฮา..)
การร่วมวงนินทากับผู้อื่น ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แนะนำให้เป็นผู้ฟังเฉยๆ และถามกลับเป็นระยะๆ ก็พอ พยายามอย่าแสดงความเห็นส่วนตัวในเชิงด่าคนอื่นเป็นอันขาด และไม่ควรนินทาใครผ่านไลน์ เรื่องนี้ขอห้ามเลย เพราะการส่งไลน์หรือเฟสบุ้คนั้นเป็นข้อความ ถ้าคุณนินทาแล้วโดนแคปไปบอกคนอื่นเมื่อไหร่ คุณก็ถึงจุดจบเมื่อนั้น ดราม่าถึงขั้นโดนไล่ออกได้เลย (โดยเฉพาะการนินทาเจ้านายและเรื่องหลุดออกไป ฮา..)
10. อย่าตัดสินคนอื่นจากภายนอกหรือประวัติส่วนตัว ถ้ายังไม่รู้จักมาก่อน
เรื่องนี้ก็สำคัญมาก เพราะการตัดสินคนอื่นจากภายนอกหรือประวัติส่วนตัว เช่น คุณมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับคนไม่หล่อ ไม่สวย อ้วน เตี้ย ดำ ดูโลโซ ดูจน ฯลฯ หรือตัดสินคนจากหน้าที่การงาน การศึกษา ชาติตระกูล ความรวยของบ้าน ฯลฯ ซึ่งถ้าคุณละทิ้งเรื่องนี้ไม่ได้ คุณจะมีโอกาสที่คนอื่นไม่ชอบขี้หน้าคุณสูงมาก
เพราะการคิดลบหรือตัดสินคนอื่นจากการมองแค่เปลือกนอก จะทำให้คุณแสดงกิริยามารยาทที่ไม่ดีต่อคู่สนทนาโดยที่คุณไม่รู้ตัว ขอบอกข่าวร้ายเลยนะครับว่าถ้าคุณตัดสินใครไปแล้ว ถึงจะปิดยังไงก็โดนอ่านออกอยู่ดี คุณจะกลายเป็นคนที่หยิ่งยโส โอหัง และกลายเป็นถูกเกลียด จงลดอีโก้ของตัวเองให้ได้นะครับ
11. อย่าอวดรู้ไปซะทุกเรื่อง
เรื่องบางเรื่อง คุณอาจจะรู้และมีความเชี่ยวชาญก็จริง แต่บางทีต้องแกล้งโง่บ้างเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนทนาได้พูดหรือแชร์ความเห็น การที่คุณอวดรู้และพยายามแทรกหรือขัดจังหวะคู่สนทนา เลวร้ายที่สุดคือการเถียงคู่สนทนา
เพราะต่อให้เรื่องที่คุณพูดนั้นถูกต้อง คู่สนทนาเป็นฝ่ายผิด คุณก็จะทำให้คู่สนทนารู้สึกเสียหน้าอยู่ดี คุณจะทำให้พวกเขาดูโง่โดยไม่รู้ตัว หัดทำตัวโง่ๆ บ้างก็ได้ เพราะคู่สนทนาจะรู้สึกภูมิใจทันทีทีคุณฟังและถามคำถามสร้างความต่อเนื่องได้ดี ไม่ว่าใครก็รู้สึกยินดีถ้ามีใครซักคนมาคอยรับฟัง ไม่ใช่มาเถียงหรือมาอวดภูมิ จริงไหมครับ
12. เลิกสไลด์มือถือไปด้วยระหว่างคุยซะที
เดี๋ยวนี้เวลาไปกินข้าวนอกบ้าน ถ้าคุณลองสังเกตดีๆ ไม่ว่าจะมาเป็นคู่ เป็นครอบครัว เป็นหมู่คณะ แทบทุกคนจะเริ่ม ‘ก้มหน้า’ เล่นมือถือคนละเครื่องโดยที่แทบไม่ได้คุยอะไรกันต่อหน้าด้วยซ้ำ
เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดเยอะ เพราะการหยิบมือถือไปด้วย พูดไปด้วย คุณจะดูแย่ทันทีเพราะถือว่าไม่ให้เกียรติคู่สนทนา จงระวังเรื่องนี้ให้มากๆ นะครับ นักขายกับนักธุกิจก็ควรระวังเรื่องนี้ให้มาก ถ้ากำลังเข้าพบลูกค้า ควรปิดเสียงและคว่ำหน้าโทรศัพท์ลงเพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้มานั่งเล่นมือถือ แต่มานั่งคุยการงานกับลูกค้าอย่างจริงจัง
13. พยายามอย่าแสดงความเห็นเชิง ‘Critical Thinking’ ในโซเชี่ยล
เรื่องนี้ทำคนโดน ‘Unfriend’ หรือ ‘Unfollow’ กันมาเยอะแล้ว เพราะการไม่นึกถึงความรู้สึกคนอื่นเวลาโพสต์อะไรออกไป โดยเฉพาะความคิดเห็นเชิง Critical Thinking ซึ่งอธิบายง่ายๆ ก็คือการออกความเห็นต่อเรื่องหนักๆ เครียดๆ เช่น การเมือง ดราม่า ทะเลาะกับแฟน มีปัญหาในที่ทำงาน เหงา ฯลฯ
คุณต้องระวังเรื่องนี้ให้มากๆ เพราะการแสดงความเห็นบางอย่างมีผลต่อคนเห็นที่คิดตรงกันข้ามกับคุณเป็นอย่างมาก เพราะการเขียนคอมเมนท์จะต่างกับการใช้ปากพูด การใช้ปากบางทีอาจจะปากไว แต่การคอมเมนท์ข้อความนั้นถือว่าเป็นลายลักษณ์อักษร การเขียนอะไรที่มีความสุ่มเสียงจึงอันตรายมากเพราะนี่คือสิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบตั้งแต่กด Enter (ถือว่าคุณคิดก่อนทำแล้ว)
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างดราม่าให้กับคนใกล้ตัวมากที่สุด ขนาดพ่อแม่ยังทะเลาะกันได้ เช่น เรื่องการเมืองที่แต่ละคนออกความเห็นเชิงวิเคราะห์และเลยเถิดไปถึงการด่าทอ เสียดสี สาดโคลน ขั้วตรงข้ามอย่างที่สุด จนเกิดปรากฎการณ์ ‘Unfriend’ กันอย่างมหาศาล
14. ยิ้ม
ไม่ว่าจะเจอหน้าใครก็ตาม ควรยิ้มให้เป็นนิสัย ต่อให้คุณเจอยามหน้าคอนโด คุณก็ควรฝึกยิ้มและทักทายพวกเขาอย่างเป็นกันเอง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ทำให้คนอื่นชื่นชอบคุณได้แล้ว
15. คิดก่อนพูดและรู้จักกาละเทศะ
เรื่องนี้มีคำตอบว่าทำไมในตัวมันเองอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนมีจิตสำนึกที่ดีในเรื่องนี้ แต่ถ้าเคยผิดพลาดไป ก็ฝึกฝนและแก้ตัวได้ด้วยกันถามคำถามที่ดีและเป็นผู้ฟังที่ดี จะช่วยลดข้อผิดพลาดเรื่องการหลุดปากไปได้มาก
การมีมิตรสหายและคนรู้จักที่ชื่นชอบกับเคารพนับถือในตัวคุณ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ ชีวิตของคุณยิ่งง่าย มีความสุข ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จได้มากขึ้นเท่านั้น
Comments
0 comments