สูตรการจ่ายค่าคอมมิชชั่นอย่างง่าย

วันนี้ผมมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการบริหารทีมขาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นทีมขายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนั้นก็คือ “การจ่ายค่าคอมมิชชั่น” ที่เข้าใจง่าย ลองเอาไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที ข้อมูลสำคัญที่คุณต้องรู้ มีดังนี้ครับ

1. Straight Commission

เป็นระบบการจ่ายแบบ Fixed เปอร์เซ็นจากยอดขาย ถ้านักขายทำยอดได้ถึงเป้าก็จะจ่ายตาม % ของยอดขาย ระบบนี้ไม่มีการจ่ายฐานเงินเดือนแต่อย่างใด ธุรกิจที่ชัดเจนมากๆ ก็คือธุรกิจนายหน้า ขายประกัน ขายตรง เป็นต้น รับเป็นค่าคอมมิชชั่นเพียวๆ เลย

ตัวอย่างเช่น: ยอดขายเบี้ยประกัน 100,000 บาท ถ้านักขายปิดการขายได้ จะได้ค่าคอมมิชชั่น 30% จากยอดขาย ซึ่งก็คือ 30,000 บาท

ระบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่นักขายสามารถทำงานได้อย่างอิสระ สินค้าเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นสินค้าที่มีกำไรค่อนข้างสูง

2. Base Salary Plus Commission

เป็นระบบการจ่ายค่าคอมมิชชั่นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจแบบ B2B ที่นักขายจำเป็นต้องมีฐานเงินเดือนเพื่อให้ดำรงชีพได้ (ฮา) จากนั้นจะมียอดขายกำกับอยู่บนหัว ถ้าทำได้ถึงเป้าก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นบวกกับเงินเดือน

ตัวอย่างเช่น: พนักงานขายเงินเดือน 20,000 บาท ต้องทำยอดขายเดือนละ 1,000,000 บาท ซึ่งถ้าทำถึงเป้าจะได้ค่าคอมมิชชั่น 1.5% จากยอดขาย ก็จะได้เงินเดือน 20,000 + ค่าคอมมิชชั่น 15,000 บาท ได้เงินรวม 35,000 บาท

ระบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่จ้างพนักงานขายแบบองค์กร ยิ่งต้องใช้ทักษะของนักขายสูงมากเพื่อขายสินค้า ฐานเงินเดือนก็ยิ่งต้องเพิ่มสูงขึ้น แต่สามารถกดค่าคอมมิชชั่นให้ต่ำลงมาได้

3. Tiered Commission

เป็นระบบการจ่ายค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันใดเพื่อจูงใจให้นักขายทำยอดได้เกินเป้า แต่ถ้าไม่ถึงเป้าก็จะได้ค่าคอมฯ น้อยลง หรือถึงขั้นไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเลย

ตัวอย่างเช่น: ยอดขาย 100% คือ 1 ล้าน นักขายจะได้ค่าคอมมิชชั่น 1.5% แต่ถ้าทำได้ 120% จะได้ค่าคอมมิชชั่น 3% เป็นต้น ซึ่งถ้าทำได้แค่ 800,000 บาท จะได้ค่าคอมมิชชั่นเพียง 0.5% ต่ำกว่านั้นจะไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเลย

ระบบนี้เหมาะสำหรับองค์กรทั่วไปที่ความพิเศษคือการจูงใจและกดดันนักขายให้ทำยอดได้เกินเป้าไปพร้อมๆ กัน

4. Residual Commission

เป็นระบบการจ่ายค่าคอมมิชชั่นแบบต่อเนื่องถ้ามีการทำให้ลูกค้าซื้อซ้ำหรือต่อสัญญาใหม่ (Subscription) ข้อสังเกตอย่างง่ายคือการต่อสัญญาหรือซื้อซ้ำครั้งถัดไปจะได้ค่าคอมมิชชั่นน้อยกว่าการขายในครั้งแรก ธุรกิจที่เห็นได้ชัดเจนก็คือธุรกิจขายประกันที่ลูกค้าจะต้องจ่ายประกันทุกปีอยู่แล้ว ยอดเท่าเดิม แต่นักขายจะได้ค่าคอมฯ น้อยลงมากๆ (แต่ก็ยังได้) เพื่อกระตุ้นให้นักขายหาลูกค้าใหม่

ตัวอย่างเช่น: เปิดการขายซอฟท์แวร์สัญญา 1 ปีครั้งแรก ได้ค่าคอมฯ จากยอดขาย 3% แต่ถ้ามีการต่อสัญญาในปีถัดไป นักขายจะได้ค่าคอมมิชชั่นเพียง 0.5% จากยอดขายทั้งหมด

ระบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มั่นใจว่ามีการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง เช่น ซอฟท์แวร์ ประกันชีวิต ลิขสิทธิ์ ฯลฯ

5. Milestone-Based Commission

คือการจ่ายค่าคอมมิชชั่นตามยอดขายที่ได้รับมอบหมาย ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้นถึงจะจ่ายเป็นเงินค่าคอมมิชชั่น

ตัวอย่างเช่น เป้าหมายของทีมขายคือ 5 ล้านบาทต่อเดือน ถ้าทำสำเร็จจะได้เงินก้อน 500,000 บาท เป็นโบนัส

ติดตามกูนี่แหละเซลล์ร้อยล้านได้ที่
Website – sales100million.com
Blockdit – blockdit.com/sales100million
Facebook – facebook.com/sales100million
Instagram – instagram.com/sales100million
YouTube – youtube.com/@sales100million
TikTok – tiktok.com/@sales100million
LinkedIn – linkedin.com/company/sales100million

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts