เรื่องนี้ควรอ่าน: คุณเกิดมาเพื่อขาย
ลองนึกตามผมนะครับว่า สมัยเด็กๆ ถ้าพ่อแม่หรือคุณครูถามเราว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร คำตอบที่ได้นั้นส่วนมากจะ อยากเป็นหมอ ครู ตำรวจ ทหาร วิศวกร นักบิน แอร์ฯ นักธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งมีน้อยรายมากที่จะบอกว่าอยากเป็นนักขายของ (อาชีพ Sales) หรือเป็นพ่อค้าแม่ขาย
ความจริงที่ผมจะบอกคือ ตั้งแต่เราเกิดมาจนเริ่มจำความได้ ตัวเรานั้นได้มีการ “ขาย” เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเรียนอยู่แล้ว การขายครั้งแรกของเราอาจจะเป็นการขายอะไรบางอย่างที่แลกกับผลลัพธ์อีกอย่าง เช่น วันแรกที่เราสอบเข้า รร. มัธยมชื่อดังได้ มีการสอบสัมภาษณ์ นั่นคือวินาทีแรกที่คุณเริ่มขายตัวเองให้กับ รร. ในการรับคุณครับ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขายที่ง่ายมาก ตอนเราสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เช่นกัน เราต้องผ่านด่านนี้แทบทุกคน สมัยเรียนเราอาจจะได้ขายความสามารถในการเข้าแข่งขันกีฬาโรงเรียน ตอบปัญหาวิชาการ สอบชิงทุนเป็น ดร. จริงๆ แล้วคุณกำลังเอาความสามารถของคุณไปขายแลกกับทุนนั้นและสอบเพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ตรงกับที่คนออกทุนอยากได้ เค้าจึงให้ทุนคุณ (ถือว่าเป็นการซื้อเวลาและความสามารถของคุณ) ตามสัญญา
ขยับขึ้นมา ณ ปัจจุบันที่เป็นเรื่องใกล้ตัวกับเราๆ ท่านๆ ช่วงนี้แหละครับเป็นห้วงเวลาแห่งการขายโดยที่เราไม่รู้ตัว และเป็นเราเองนี่แหละที่ต้องการผลลัพธ์ที่เรียกว่า “ค่าตอบแทนหรือเงินเดือน” การขายโดยที่เราไม่รู้ตัวนั้นคือช่วงเวลาที่เราต้องขายตัวเองเพื่อ “สัมภาษณ์งาน” นั่นเองครับ เราต้องขายตัวเรา เรซูเม่ ทักษะการสัมภาษณ์งานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ คือรับเราเข้าทำงานตามความสามารถของเรา นี่เป็นแค่ขั้นตอนแรกนะครับ!
เมื่อเราได้เริ่มทำงานในขั้นตอนถัดมาก็ถือว่าเป็นช่วงที่เรา “ขาย” อยู่ตลอดเวลา เราขายความสามารถของเราโดยที่นายจ้างเป็นผู้ซื้อเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวัน โดยมีการกำหนดผลลัพธ์ที่ชัดเจนแลกกับเงินเดือน หมายความว่าถ้าเรา “ขาย” ความสามารถของเราให้เพิ่มขึ้น ผลลัพธ์ดีขึ้น เงินเดือนหรือโบนัสของเราก็ควรเพิ่มขึ้นตาม
แนวคิดนี้เป็นเหตุผลที่ผมจะสื่อว่า เราสามารถเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการขาย เพราะจริงๆ แล้วตลอดเวลานั้นคุณได้ขายตัวเราเองไปแล้วในหลายๆ ด้าน เพียงแต่หน้าที่ที่คุณทำนั้นไม่ได้ออกมาในรูปแบบของการขายของนั่นเอง แต่คุณได้ขายความสามารถ เช่นถ้าคุณเป็นหมอ คุณได้รักษาคน คุณเป็นครู คุณได้สอนหนังสือ โดยที่รัฐบาลได้กำหนดหน้าที่ ผลลัพธ์และค่าตอบแทนให้กับคุณ แม้แต่คุณเป็นช่างตัดผม คุณก็กำลังขายความสามารถในการตัดผม ยิ่งความสามารถคุณดี คุณยิ่งมีลูกค้ามากขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น
ผมกำลังจะบอกคุณว่า จงเปิดใจรับมันเถอะครับในเรื่องการขาย ลองคิดตามนะครับว่าปกติเราออกไปทำงานหรือทำธุรกิจ ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวัน ต่อสัปดาห์ ถ้าคุณอยากได้รายได้เพิ่มขึ้น คุณอาจจะ…
1. ใช้เวลาให้มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน
2. ขายความสามารถให้มากกว่าเดิม
ผมจะมอบแนวคิดที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเวลาและการขายให้ดังนี้ สำหรับคนที่เป็นนักขายหรือทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ เคยมั้ยครับที่เราอยากพบลูกค้าให้มากกว่านี้ แต่มีขีดจำกัดเรื่องเวลา เราไม่สามารถทำงานมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมงได้ครับ เต็มที่ก็ไม่น่าเกิน 12 ชั่วโมง
…ถ้าเราอยากมีเวลาเพิ่มขึ้นต่อวันล่ะ?
…เราจะทำอย่างไรดี?
…มันมีทางเป็นไปได้มั้ย?
ถ้าเราทำได้ เราจะรวยมากขึ้นแน่นอนเพราะได้เวลาในการทำงานมากกว่าคู่แข่งทางธุรกิจคนอื่น
คุณตัน อิชิตันเคยเชิญผมเข้าไปพบเพื่อให้ผมเข้าไปแนะนำเกี่ยวกับการโฆษณา และได้พูดคุยเกี่ยวกับการบริหารเวลา ผมจึงแนะนำว่าถ้าเขามีพนักงานราวๆ ห้าพันคน นั่นหมายความว่าคุณตัน มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น มีเวลาให้กับงานและธุรกิจรวมกันมากกว่า 5,000×8 = 40,000 หมื่นชั่วโมงต่อวัน
คุณตันได้ซื้อเวลาพนักงานแลกกับผลลัพธ์ด้วยค่าตอบแทน และสร้างธุรกิจระดับ “หลายพันล้าน” ได้ ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าเราต้องการยอดขายที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจใหญ่โตขึ้นในเวลาเท่าเดิม เราจึงจำเป็นต้องสร้าง “ทีม” หรือจ้างงานขึ้นมาครับ โดยเฉพาะทีมขายจะเป็นทีมที่ให้ผลลัพธ์ตรงนี้ได้มากพอสมควร
ผมจึงขอสรุปเรื่องราวตรงนี้ดังนี้ให้ง่ายขึ้น
1) ทุกอาชีพที่เราทำเรียกว่าเป็นการขาย จงเปิดใจรับมัน
ไม่ว่าเราจะเป็นวิศวกร แพทย์ นักกฎหมาย นักบัญชี ครู ข้าราชการ สิ่งที่เรากำลังทำนั้นคือการขาย “เวลา” ของเราแลกกับค่าตอบแทนตามผลลัพธ์ที่ได้รับมอบหมายไว้ เช่นอาชีพข้าราชการ รัฐบาลจ้างเราในเวลา 8 ชั่วโมงแลกกับเงินเดือนตามบทบาทและหน้าที่ที่ความสามารถของเรามีโดยที่รัฐบาลเป็นคนจ้างเรา
2) ปลดล๊อกเรื่องของกฎของเวลาให้ได้
ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์โดยเฉพาะเรื่องธุรกิจและการขาย คุณจำเป็นต้องมีระบบการจ้างงานเพื่อสร้างทีม สิ่งนั้นจะทำให้ใน 1 วันของคุณมีเวลาทำงานหรือรันธุรกิจเพิ่มขึ้นจากวันละ 8 ชั่วโมงเป็นหลักสิบ หลักร้อย หลักพัน หรือหลักหมื่นชั่วโมงโดยที่คุณเองนั่นแหละที่จะเป็นผู้ซื้อโดยที่คนมาสมัครงานกับคุณเพื่อ “ขาย” เวลาของเขาบวกกับความสามารถแลกกับค่าตอบแทนที่คุณจะให้นั่นเองครับ
วันนี้เขียนยาวเลย ผมจึงขอนิยามคำพูดที่ว่า “ทุกคนต้องขายอยู่ตลอดเวลา” ซึ่งเราสามารถนำไปปรับใช้ได้เลย ไม่ต้องไปเกลียดมัน บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก ไม่ลำบากอีกต่อไปหากเราเปิดใจและน้อมรับมัน เอ็นจอยที่จะ”ขาย” อะไรก็ตามที่ทำให้ชีวิตของเรานั้นดีขึ้น
ไม่แน่นะครับ จุดเปลี่ยนนี้อาจทำให้คุณสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่หรือบรรลุเป้าหมายที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ให้สำเร็จได้ครับ
Comments
0 comments