คลาสนั้น…สำคัญไฉน
คุณคิดว่า ‘คลาส’ ในตัวคุณ “มีระดับ” มากแค่ไหนกันครับ?
คลาสในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณเกิดมาจากตระกูลผู้ดี นามสกุลไฮโซ แต่อย่างใด คลาสของคุณอาจมาจากการอบรมสั่งสอนของบุพการี ครูบาอาจารย์ รวมไปถึง ‘หัวหน้า’ จากที่ทำงาน และยังรวมถึง “อุปนิสัยส่วนตัว” ที่คุณอยากจะเป็นคนที่วางตัวดี ฝึกฝนตัวเองให้มีคลาสอยู่ตลอดเวลาก็เป็นได้
คลาสในตัวคุณอาจหมายถึง “รสนิยม” หรือ “ไลฟ์สไตล์” ในการใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน
คลาสที่ผมกำลังจะเอ่ยถึงนี้มาจากคำว่า ‘Class’ ซึ่งไม่ได้แปลว่า “ชั้นเรียน” “ชั่วโมงเรียน” “ประเภท” นะครับ (ฮา) แต่ที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้ก็คือ ‘Class’ ที่แปลว่า “มีระดับ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานและการใช้ชีวิต
ในสังคมการทำงานบริษัทแบบ B2B (Business-to-Business) คุณจะพบว่ามีนักขายหรือนักธุรกิจอยู่หลายระดับ บางคนเป็นระดับหัวหน้างานของบริษัท SME เล็กๆ บางคนเป็น CEO บริษัทระดับพันล้านเลยก็มี
สิ่งที่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายคนมีก็คือพวกเขา “มีคลาส” ซึ่งเปล่งแสงออกมาจากตัวเองและเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จเชิงธุรกิจและชีวิต การสร้างคลาสที่มีระดับและมีสไตล์จึงมีความสำคัญต่อชีวิตของตัวคุณเอง
ผมจึงขอแชร์ความสำคัญของการพัฒนาตัวเองให้มีคลาสหรือมีระดับที่สูงขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ชีวิตของคุณก้าวขึ้นไปอีกระดับได้แน่นอนครับ
1. เริ่มจากการแต่งกายที่ดูดีเป็นอันดับแรก
ผมมักจะย้ำอยู่เสมอเกี่ยวกับการเป็นนักขายที่ต้องทำธุรกิจกับลูกค้า คุณต้องแต่งตัวให้ดูดีและให้เกียรติลูกค้าเสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับใดก็ตาม ต่อให้พบเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาคารก็ต้องแต่งตัวให้ดูดี พยายามหลีกเลี่ยงยูนิฟอร์มของบริษัทที่เป็นเสื้อโปโล กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ เพราะมันจะทำให้คุณดูไม่เหมือนนักธุรกิจและคล้ายคลึงกับนักขายบริษัทคู่แข่งมากเกินไป ผมมีเคล็ดลับการแต่งตัวมาฝากก็คือให้คุณแต่งตัวเหมือน “นายแบงค์” ที่มาพร้อมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็คและเนกไทสีสุภาพ พร้อมกับทรงผมสั้นสไตล์นักธุรกิจ เพียงเท่านี้คุณก็เป็นหนุ่มนักธุรกิจที่มีคลาสเพิ่มขึ้นแล้วล่ะครับ
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าลูกค้าของคุณคือบริษัทชั้นนำ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจการเงินและการธนาคาร สังเกตไหมครับว่าทุกคนในนั้นจะแต่งตัวดีมาก จงมีสูทคู่กายไว้เสมอ เพื่อให้การเจรจาธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น ความลับของลูกค้าระดับสูงที่ผมจะบอกคุณเพิ่มเติมก็คือ กลุ่มลูกค้าระดับท็อป ตำแหน่งใหญ่โต ส่วนใหญ่จะจบการศึกษาสูง พวกเขามีพื้นฐานทางสังคมที่ดี (ส่วนใหญ่นะครับ) จึงทำให้บางทีก็เข้าถึงยากเพราะอีโก้ที่อยู่ในตัว พวกเขาจะสแกนคุณแบบหัวจรดเท้า ถ้าแต่งตัวไม่ดี บางทีคุณอาจจะถูกพวกเขา “ตัดสิน” ด้วยสายตาเลยก็ได้ (ซึ่งไม่ผิด) การแต่งตัวที่ดีทุกวันจะช่วยเพิ่มคลาสของคุณในสายตาลูกค้า เพิ่มความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังได้รับความเคารพภายในทีมมากขึ้นด้วย
2. พูดจาให้น้อยลง แต่จงเป็นนักฟังที่ดีขึ้น
นักธุรกิจระดับมืออาชีพจะพัฒนาตัวเองให้มีคลาสอยู่เสมอ นอกจากการแต่งกายที่ดีแล้ว พวกเขายังมีบุคลิกที่ดีและน่าเคารพมากๆ สังเกตไหมครับว่าคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างพูดน้อย ระมัดระวังคำพูดของตัวเองอยู่เสมอ แลดูเหมือนคนที่คิดอะไรลึกซึ้งอยู่ตลอดเวลา คุณควรศึกษาและพัฒนาตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ตามแบบฉบับนักธุรกิจมืออาชีพให้มาก การพูดให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้าและลูกค้าจะช่วยให้คุณมีบุคลิกที่นิ่งยิ่งขึ้น ช่วยแก้ปัญหาการพูดไม่เก่งและลดข้อผิดพลาดในการพูดจาไม่เข้าหูต่างๆ เช่น พูดเพ้อเจ้อ พูดโอ้อวด เป็นต้น
การพูดให้น้อยลงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เพราะจะทำให้คู่สนทนาโดยเฉพาะลูกค้าไม่คุยอะไรกับคุณเลย สิ่งที่จะเสริมเรื่องนี้ได้คือ “การถามคำถามที่ดี” โดยเฉพาะคำถามเชิงธุรกิจเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าหรือรับทราบปัญหาที่ลูกค้าประสบอยู่จะช่วยให้ลูกค้าเป็นฝ่ายพูดมากยิ่งขึ้น โดยคุณจะต้องฟังจับใจความให้ดี คำพูดของลูกค้ามีค่ากว่าคำพูดจากฝ่ายคุณเสมอ สิ่งที่เกิดขึ้นจะช่วยพัฒนาให้คุณเป็นนักฟังที่ดีได้ ลองฝึกเรื่องนี้กับคนรอบข้างโดยเฉพาะเพื่อนฝูงดูนะครับ ถ้าพวกเขายอมเล่าเรื่องส่วนตัวหรือปรึกษาปัญหาชีวิตอยู่บ่อยๆ แสดงว่าคุณ “เข้าขั้น” ในการเป็นนักฟังและเป็นนักถามคำถามที่ดีแล้วล่ะครับ เรื่องนี้จะทำให้คุณได้รับความไว้วางใจมากขึ้น
3. เลิกโพสต์โอ้อวดเกี่ยวกับตัวเองบนเฟซบุ้คมากเกินความจำเป็น
บุคลิกและการสื่อสารต่อหน้าคนอื่นอาจไม่เพียงพอ ยิ่งในยุคนี้คุณอยู่ในยุคโซเชี่ยลมีเดีย คุณมีพื้นที่ส่วนตัวในการโพสต์เรื่องราวต่างๆ ให้เพื่อนๆ ได้เห็น “ยอดไลค์” คือดัชนีชี้วัดความนิยมชมชอบในตัวคุณจากเพื่อนๆ สิ่งนี้มีด้านมืดอยู่เช่นกัน การโพสต์เรื่องราวความสำเร็จหรือโชว์สิ่งของเพื่อต้องการยอดไลค์โดยเจตนาหรือไม่เจตนา อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของคุณ เช่น การโพสต์อวดสิ่งของแบรนด์เนมที่เกินพอดี โพสต์ชีวิตการทำงานที่ประสบความสำเร็จ (ส่วนใหญ่คือการโพสต์ที่หวังผลประโยชน์เพื่อให้คนสนใจเข้าร่วมธุรกิจ) โพสต์ไลฟ์สไตล์หรูหรา โพสต์เรื่องราวดราม่าโดยไม่เช็คก่อนแชร์ เป็นต้น
ถ้าทั้งฟีดบนเฟซบุ้คของคุณมีแต่เรื่องทำนองนี้ จงปรับหรือโพสต์เรื่องใหม่ๆ โดยเฉพาะแนวคิดหรือปรัชญาชีวิตบางอย่างที่คิดขึ้นมาเองดูบ้าง ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องความร่ำรวย การงาน ความสำเร็จเสมอไป จงนำเสนอแง่มุมอื่นๆ ที่ไม่ได้มีเจตนาว่าจะโอ้อวดให้คนนิยมชมชอบ เช่น สัตว์เลี้ยง การออกกำลังการ อาหาร การทำบุญ ครอบครัว ฯลฯ เพื่อลดอัตราความหมั่นใส้จากคนอื่น (ฮา) และเพิ่มความน่าสนใจในตัวคุณมากยิ่งขึ้น ไม่เชื่อลองเข้าไปดูเฟซบุ้คของคนที่คุณเคารพนับถือดูก็ได้ครับ พวกเขาจะมีแนวทางการโพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองที่ดีและดูมีคลาส ทำให้ดูน่าเชื่อถือและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคุณได้
4. จงใส่ใจการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
คุณจะมีคลาสมากยิ่งขึ้นถ้ารู้จักพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้มีระดับที่สูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทักษะนี้มีความจำเป็นมากที่สุดเมื่อคุณต้องทำธุรกิจกับชาวต่างชาติ การมีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการพูดภาษาอังกฤษจะทำให้คลาสของคุณถูกยกระดับขึ้นมาอีกขั้น เท่านั้นยังไม่พอ คุณต้องใส่ใจการพูดด้วยสำเนียงที่ถูกต้อง พยายามอย่าลืมประโยคแกรมม่าเพื่อให้คุณพูดได้ตรงตามไวยากรณ์มากยิ่งขึ้น และเป็นการเคารพเจ้าของภาษา ความชำนาญและความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ โดยที่คุณเป็นคนไทย สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มคลาสของคุณเป็นอย่างมาก
5. จงกล้าที่จะเข้าหาบุคคลในสังคมใหม่ๆ
เรื่องนี้เป็น “ทางลัด” ที่จะทำให้คุณได้พบกับคนมีคลาสเพื่อพัฒนาตัวเองและ “แสวงหาโอกาส” เชิงธุรกิจจากคนกลุ่มนี้ ถ้าคุณเป็นนักขาย คุณจะมีโอกาสที่ดีเพราะต้องเข้าพบลูกค้าหน้าใหม่ระดับสูงอยู่เสมอ ประสบการณ์ในการเข้าพบลูกค้าระดับ CEO ผู้บริหาร หรือเจ้าของกิจการจะช่วยขัดเกลาให้คุณเป็นนักธุรกิจมากยิ่งขึ้น เพราะคุณต้องระมัดระวังตัวเอง โดยเฉพาะคำพูดและคำถาม อีกทั้งยังต้องมีความนิ่งที่มากพอเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นนักขาย คุณมีโอกาสพบคนเหล่านี้ได้ เช่น งานสัมมนาเชิงธุรกิจ กิจกรรมของคลับรถยนต์ จักรยาน การกีฬา ฯลฯ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้คุณเจอบุคคลมีระดับเหล่านี้และสื่อสารกันง่ายขึ้นเพราะมีความชื่นชอบเหมือนกัน
หัวใจสำคัญของการเป็นคนที่มีคลาสคือการยอมรับนับถือและเพิ่มความน่าเชื่อถือ นี่คือกุญแจของการขายเลยก็ว่าได้ คลาสคือการวางตัวที่ดีและเป็นหนึ่งในสมบัติผู้ดีซึ่งคุณควรทำตาม
Comments
0 comments