หยิบเรื่องมาเล่า: โคตรเซลล์ที่ผมเจอตอนไปหัวหิน
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปพักผ่อนที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อไปพักผ่อนหย่อนใจ คือที่ไปก็กะว่าจะไปพักผ่อนเฉยๆ แล้วจะหยุดเขียนบทความไปซักพักเพื่อให้หัวสมองได้หลีกหนีจากการทำงานบ้าง
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเซลล์ร้อยล้าน ในหัวของผมคงไม่หยุดคิดเรื่องบทความเกี่ยวกับการขายอะไรง่ายๆ ขนาดออกไปซื้ออาหารทะเลสดก็ยังเจอเรื่องอะไรดีๆ เอามาเล่าสู่กันฟังท่านผู้อ่านครับ
เรื่องของเรื่องก็คือผมได้ไปซื้อของกินอบแห้งข้างๆ ร้านอาหารทะเลสดแถวๆ เขาตะเกียบ เรียกได้ว่าสดๆ แบบว่ายอยู่ในตู้เป็นเป็น ยังไม่ตายเลย มีกุ้ง หอย ปู ปลา นานาชนิดให้เลือก แต่ทีเด็ดอยู่ที่ร้านขายปลาหมึกแห้งนี่แหละครับ ผมได้เจอกับ “โคตรเซลล์” ที่แกโชว์เทพจนปิดการขายกับผมและผองเพื่อนจนอยู่หมัด
ผมได้เรียนรู้สิ่งดีๆ ที่คุณเองก็สามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับการขายของคุณจากภูมิปัญญาพ่อค้าแท้ๆ ที่เรียนรู้ได้ง่ายๆ และนำไปใช้กับการขายแบบมืออาชีพได้อีกด้วยครับ
1. เมื่อลูกค้าเดินเข้ามาที่ร้าน แสดงว่าพวกเขามีความสนใจและต้องการซื้อ
พ่อค้าได้เริ่มต้นจากสิ่งง่ายๆ กับผมด้วยคำทักทาย พร้อมกับถามคำถามว่าผมสนใจของกินอันไหนบ้าง ที่แน่ๆ ก็คือพวกเขาจะสังเกตสายตาผมว่ามองไปที่สินค้าอะไร จากนั้นก็จะเริ่มแนะนำเกี่ยวกับสินค้า ซึ่งก็คือปลาหมึกชนิดต่างๆ ว่ามีความอร่อยและมีรสชาติเป็นอย่างไร ที่สำคัญคือพวกเขาอ่านความสนใจและความต้องการของผมได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจากประสบการณ์ของพ่อค้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าเวลาลูกค้าเดินเข้ามาดูก็ถือว่ามีความต้องการแล้ว ยิ่งถ้าสอบถามราคาก็ไม่ต้องสืบว่ามีความต้องการมากขนาดไหน พวกเขาย่อมไม่พลาดที่จะปิดการขายแน่นอน
2. ให้ทดลองใช้หรือทดลองชิมเพื่อให้ลูกค้ามีความต้องการซื้อมากขึ้นไปอีก
เป็นวิธีสุดคลาสสิกและไม่มีอะไรดีไปกว่าการให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงสรรพคุณที่บรรยายออกมาด้วยตนเอง พ่อค้าปลาหมึกได้ให้ผมชิมแต่ละรสอย่างจุใจ ไม่มีการกั้ก ชี้อันไหนก็ให้ชิมอันนั้น พวกเขาย่อมรู้ว่าผมมีความต้องการซื้อแน่ๆ หลังจากได้สัมผัสรสชาติอันโอชะ แถมตัวลูกค้าเองยังสามารถเป็นผู้ตัดสินใจโดยไม่มีการถูกกดดันและถูกบังคับโดยพ่อค้าอีกต่างหาก เทคนิคนี้ถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกการขาย ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างไอโฟน เสื้อผ้าร้านยูนิโคล่ ไปจนถึงระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่แบบองค์กรก็ควรให้ลูกค้าได้มีโอกาสทดลองใช้สินค้าด้วยตนเอง สิ่งนี้จะเป็นการสร้างความต้องการและความมั่นใจสูงสุด
3. ถามถึงคนรอบข้างเพื่อเพิ่มโอกาสในการขายเพิ่ม
เมื่อผมคอนเฟิร์มซื้อปลาหมึกสองถุงเรียบร้อยแล้ว ตอนควักเงิน พวกเขามองเห็นโอกาสว่าจะเพิ่มบิลในการซื้อให้แก่ผมได้อย่างไร แถมยังเป็นวิธีที่ง่ายแบบปอกกล้วยเข้าปากเสียด้วย พวกเขารู้ดีว่าผมมาจากต่างถิ่น (สังเกตจากการแต่งตัว) จึงสอบถามว่าผมมีสมาชิกในครอบครัวหรือคนที่ผมรักเช่นพ่อตา แม่ยาย เมีย (ฮา) เพื่อให้ผมได้ซื้อไปฝากครอบครัวด้วย สิ่งที่ผมคิดตามก็คือ “ถ้าซื้อแค่นี้น่าจะไม่พอกิน..ผมควรจะซื้อเพิ่มเพื่อฝากคนอื่น” ทำให้ผมสั่งซื้อเพิ่มขึ้นแบบไม่คิดมาก ซึ่งแน่นอนว่าผมจะซื้อรสที่ผมชอบไปฝากคนอื่นเพราะลิ้นผมได้ตัดสินแล้วว่ามันอร่อยนั่นเองครับ ต่อให้ผมไม่สนใจ พวกเขาก็ยังได้เงินจากผมอยู่ดีครับ
4. คายโปรโมชั่นตอนที่ลูกค้าจะจ่ายเงิน
เมื่อพวกเขาเห็นว่าผมหยิบซื้อพอประมาณ พวกเขาจึงคายโปรโมชั่นลับเพื่อให้ผมซื้อเพิ่มขึ้นไปอีก ตัวอย่างง่ายๆ เช่น “ถ้าน้องซื้อเพิ่มอีก 2 ถุง รวมเป็น 5 ถุง ทางร้านจะแถมเพิ่ม 1 ถุง” ซึ่งจากโปรฯ นี้เองที่ทำให้ผมลังเลอีกนั่นแหละที่จะจายเงินเพิ่ม สุดท้ายพวกเขาก็ได้ยอดขายเพิ่มเพราะผมปากเบาและเสียดายโปรโมชั่นนั่นเองครับ (ฮา) คุณจึงสามารถนำเทคนิคนี้ไปใช้กับการขายด้วยการบอกโปรโมชั่นในช่วงท้ายๆ อย่าพึ่งพูดเรื่องโปรโมชั่นในช่วงแรกเพื่อใช้มันเป็นไพ่ตายในการขายเพิ่มหรือโน้มน้าวให้คนที่ยังไม่ยอมซื้อ เปลี่ยนใจเป็นซื้อนั่นเองครับ
5. เล่าเรื่องเสริมความน่าเชื่อถือ
พ่อค้าที่เก่งมักจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับลูกค้าที่คล้ายๆ กับผม (ซึ่งจริงบ้างไม่จริงบ้างเพราะไม่มีตัวตน) เทคนิคการเล่าก็จะบอกว่าคนอื่นๆ จากกรุงเทพก็มาซื้อทีละเยอะๆ ซื้อไปฝากพ่อแม่ พี่น้อง ลุงป้าน้าอา อะไรทำนองนั้น หรือบอกว่าเป็นสินค้าขายดี รสนี้อร่อยพิเศษ มีที่ร้านเขาร้านเดียวเท่านั้น มีคนดังหลายคนมาซื้อ ซึ่งเรื่องเล่าเหล่านี้แหละที่ทำให้ลูกค้ามั่นใจเพิ่มขึ้นว่าของนั้นดีจริงๆ เพราะผมเองก็ได้ชิมไปแล้วแถมยังเป็นคนบอกว่ารสชาติอร่อย เรื่องดีๆ ที่เล่าก็ยิ่งเสริมความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ผมได้เรียนรู้จากนักขายขั้นเทพจากหัวหินครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่เซลล์ร้อยล้านได้ถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้อื่นนะครับ
Comments
0 comments