ประสบการณ์ชีวิตและการทำธุรกิจในประเทศเวียดนาม
เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เซลล์ร้อยล้านได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศเวียดนาม เริ่มตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในประเทศแห่งนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ร่วมๆ 4 ปีได้แล้วล่ะครับ
ทุกอย่างเริ่มจาก 0 ไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่รายเดียว ก่อตั้งโดยคนไทย 100% ซึ่งแน่นอนว่าความคิดในหัวผมตอนแรกเดี่ยวกับประเทศเวียดนามนั้น ด้วยความสัตย์จริง ผมคิดว่าประเทศนี้คงเหมือนเมืองไทยเมื่อซัก 30 ปีก่อน
ไม่มีไฮเวย์ ไม่มีทางด่วน ไม่มีอาคารสำนักงาน ไม่มีบริษัทชั้นนำ ไม่มีห้างดีๆ ให้เดิน หลายๆ อย่างคงเหมือนกับที่คนเคยไปเวียดนามมาก่อนมักจะบอกว่า “อย่าไปอีกเลย” เพราะอันตราย คนไทยพร้อมโดนโกงได้ทุกเมื่อ
แล้วทำไมผมถึงยังเข้าไปทำธุรกิจในประเทศเวียดนาม?
เป็นเพราะว่าประเทศนี้มีอัตราการเติบโตของภาพรวมธุรกิจในประเทศที่มี GDP ที่สูงกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ หมายความว่าในมุมมองของนักธุรกิจ ผมคงโง่มากๆ แน่ที่ปล่อยให้โอกาสตรงนี้หลุดลอยไป
มาถึงขั้นนี้แล้ว ในเมื่อผมถอยไม่ได้ ผมจึง “กระโดดเข้าสู่สงครามธุรกิจ” ในประเทศเวียดนามนี้ทันที ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับประเทศนี้ ผมจะต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตาด้วยตนเองเท่านั้น
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ “โอกาสทางธุรกิจ” ที่ผมใช้ระบบเซลล์ร้อยล้านเปิดการขายได้อย่างงดงาม จึงอยากจะแชร์ประสบการณ์ชีวิตและการทำธุรกิจในประเทศเวียดนามให้ทุกคนได้ทราบกันครับ
1. การจราจรในเวียดนาม
ภาพการจราจรในเวียดนาม… โหดสัสรัสเซียจริงๆ (ฮา)
ถ้าคุณคิดว่าการขับรถในกรุงเทพนั้นแย่แล้ว ขอบอกเลยว่าถ้าคุณมาเที่ยวประเทศเวียดนาม การจราจรในประเทศไทยเราจะกลายเป็นระดับเด็กอนุบาลทันที (ฮา) ที่นี่จะทำให้การขับรถอันห่วยแตกของคุณกลายเป็นคนดีขึ้นมาเลย น่าจะเป็นวัฒนธรรมการขับรถสำหรับประเทศเวียดนามที่ใครนึกจะเลี้ยวก็เลี้ยว ซ่อกแซ่กจอแจได้ตามใจชอบ นึกจะกลับรถก็สามารถทำได้เลย หรือแม้แต่การข้ามถนน คุณสามารถเดินข้ามไปแบบชิลๆ ไม่ว่ารถจะเยอะแค่ไหน เพียงแต่มีข้อแม้ว่าห้ามหยุดเดินระหว่างข้ามเด็ดขาด
2. การใช้ภาษาอังกฤษสำหรับการสื่อสารเชิงธุรกิจ
ข่าวดีสำหรับผมและหลายๆ คนที่ “ภาษาอังกฤษ” ไม่แข็งแรง นั่นก็คือคนเวียดนามส่วนใหญ่ที่ทำงานในระดับมืออาชีพ บริษัทชั้นนำ พวกเขามีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษคล้ายๆ กับคนไทยนี่แหละครับ คือมีน้อยคนที่จะพูดและมีสำเนียงที่เหมือนกับฝรั่งจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วจะพูดด้วยคำศัพท์ที่เข้าใจง่าย ฟังง่าย ทำให้การนำเสนอและติดต่อลูกค้าด้วยภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ ก็สามารถทำให้คุณดำเนินงานต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องซีเรียสว่าจะต้องมีทักษะการพูดภาษาอังกฤษขั้นเทพแต่อย่างใด เอาแค่ให้เข้าใจง่ายๆ ก็พอ การโทรทำนัดก็เช่นกัน งูๆปลาๆ ไปเลย
3. Linkedin.com เป็นแหล่งข้อมูลหาลีดรายชื่อลูกค้าชั้นเยี่ยมสำหรับเวียดนาม
ผมพูดถึงลิ้งก์อินอยู่บ่อยครั้ง และเคยเขียนวิธีการหาลูกค้าข้ามโลกด้วยเครื่องมือนี้ไปอย่างละเอียดแล้ว ขอบอกเลยว่าถ้าคุณไม่ได้ใช้ลิ้งก์อิน การหาลีดรายชื่อลูกค้าในแต่ละบริษัทคงจะยากแบบมหาโหดเลย ก็ขนาดขายของในประเทศไทย เวลาคุณไม่รู้ชื่อและตำแหน่งลูกค้า เมื่อทำ Cold-Calling เพื่อทำนัด โอเปอเรเตอร์ก็มักจะปฎิเสธอย่างไร้เยื่อใย ข่าวดีก็คือคนเวียดนามสมัครใช้งานลิ้งก์อินเยอะมาก คุณสามารถค้นหาลีดรายชื่อและตำแหน่งที่ใช่ น่าจะมีอำนาจตัดสินใจได้แบบง่ายๆ เลย พวกเขาส่วนใหญ่จะลงเบอร์โทรเอาไว้ด้วย ทำให้คุณโทรทำนัดได้อีกแรง
4. บริษัทยักษ์ใหญ่และบริษัทข้ามชาติมีเยอะมาก
ถ้าคุณมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจแบบ B2B (Business-to-Business) โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น การสื่อสาร อินเทอร์เน็ต รถยนต์ แฟชั่น สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ ขอบอกว่าบริษัทสัญชาติเวียดนามชื่อดังนั้นมีเยอะมาก สเกลน้องๆ กลุ่ม CP เบียร์ช้าง AIS เถ้าแก่น้อย พฤกษา ฯลฯ บ้านเราเลยล่ะครับ ถ้าคุณมีสินค้าหรือบริการที่ช่วยให้พวกเขาเหล่านั้นได้ประโยชน์ จงพุ่งเข้าไปขายเลยเพราะพวกเขา “มีตังค์” ซื้อสินค้าคุณแน่นอน ที่สำคัญคือมีบริษัทหัวนอกแบรนด์ฝรั่งเยอะแยะมากมายให้คุณได้เข้าไปขายอีกด้วย เพราะตลาดค่อนข้างโตมาก
5. กระบวนการขายเพื่อเอาชนะคู่แข่งนั้นเหมือนกันทั้งโลก
ไม่ว่าคุณจะขายของอยู่ในประเทศอะไรก็ตาม กระบวนการขายที่คุณทำในประเทศไทยได้ดีอยู่แล้ว คุณสามารถเอามาใช้กับที่นี่ได้เลย ไล่ตั้งแต่การหาลีดลูกค้าใหม่ การทำนัด การถามคำถาม การนำเสนอ การติดตามงาน ไปจนถึงการต่อรองเจรจาและปิดการขาย โดยเฉพาะการติดตามงาน ถ้าคุณทำได้ดี มีเซลล์รีพอร์ทช่วยเตือนความจำ เข้าพบลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ คุณมีสิทธิ์ชนะคู่แข่งที่เป็นคนเวียดนามได้จากความเป็นมืออาชีพของคุณ ในจุดนี้แตกต่างจากประเทศไทยคือการที่คุณต้องใช้ภาษาอังกฤษนั่นเองครับ นอกนั้นเหมือนกันหมดเรื่องความเป็นมืออาชีพ
6. เดินทางได้อย่างสะดวกและประหยัดด้วย Grab Taxi กับ Uber
ผู้คนใช้ Grab Taxi เพื่อช่วยในการเดินทาง
เรื่องการเดินทางเป็นสิ่งที่ผมกังวลเพราะเมื่ออยู่ไทย ผมมีรถขับ ซึ่งจะไปไหนก็ได้ตามใจ แต่เมื่อต้องมาอยู่ที่เวียดนาม ในตอนแรกผมคิดถึงรถของผมอย่างมาก เพราะอยู่ที่นี่คงได้แต่นั่งแท็กซี่แถมยังกลัวโดนโกงอีกต่างหาก กลายเป็นว่าในเวียดนามทำให้การเดินทางของผมเป็นของกล้วยๆ ไปเลย เพราะประเทศนี้แอพอย่าง Grab หรือ Uber นั้นโด่งดังมาก ไม่มีดราม่าเรื่องแท็กซี่ไล่กระทืบเหมือนบ้านเราอีกต่างหาก แถมค่าบริการยังถูกแสนถูก ไม่เกิน 50 บาทต่อเที่ยว (แล้วแต่เส้นทาง) หรือต่อให้รถติดก็ยังมี Grab Bike ที่ราคาถูกกว่าพี่วินบ้านเรา ทำให้ผมแทบไม่ปวดหัวเรื่องการเดินทางเลยล่ะครับ (เพียงแต่ต้องใส่หน้ากากหน่อยนะ อากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่)
7. ผู้คนขยันขันแข็ง น่ารัก อัธยาศัยดี
มุมมองที่ผมถามลูกน้องชาวเวียดนามต่อคนไทย ตอนแรกผมคิดไปเองว่าคนเวียดนามน่าจะไม่ค่อยชอบคนไทยเท่าไหร่ เพราะประเทศเราเป็นคู่แข่งคนสำคัญในหลายๆ เรื่อง เช่น ฟุตบอล เศรษฐกิจ ประเทศชาติ เป็นต้น ปรากฎว่าสิ่งที่ได้ยินมาจากปากพวกเขาเป็นเรื่องที่ดีมาก พวกเขามองประเทศเราเป็น “เป้าหมาย” ที่พวกเขาต้องเป็นอย่างประเทศเราให้ได้ พวกเขานับถือความเจริญทางด้านการท่องเที่ยว ผู้คนที่เป็นมิตร เศรษฐกิจ ของประเทศเรามากๆ บางคนเรียกเราว่า “พี่ใหญ่” (Big Brother) กันเลยทีเดียว แถมยังให้เกียรติการประกอบธุรกิจของประเทศเรามากๆ อีกด้วย
8. กลุ่มธุรกิจของคนไทยเข้าไป “Takeover” ธุรกิจของประเทศเวียดนามแล้วนะ
นับว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ เมื่อกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของประเทศเราเช่น กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มเบียร์ช้าง กลุ่ม SCG กลุ่ม CP กลุ่มเถ้าแก่น้อย ฯลฯ ได้เข้ามาซื้อกิจการยักษ์ใหญ่ของประเทศเวียดนามไปแล้ว หลายๆ ธุรกิจเข้ามาดำเนินธุรกิจกอบโกยผลกำไรในประเทศเวียดนามอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ถ้าขาใหญ่ให้ความสนใจขนาดนี้ จงอย่าพลาดที่จะ “เกาะรถซิ่ง” เพื่อให้คุณไม่ “ตกรถ” เสียโอกาสทางธุรกิจไปนะครับ
คร่าวๆ ของประสบการณ์ในการทำธุรกิจที่ยอดเยี่ยมกับเวียดนามเพียงเท่านี้ ผมจะหาเรื่องใหม่ๆ มาเล่าอีกในโอกาสถัดไปนะครับ
Comments
0 comments