ทำยังไงคุณถึงจะเป็นนักขายที่เก่งกว่าคนอื่น
อาชีพนักขาย ถ้าพูดถึงกีฬาฟุตบอลแล้วล่ะก็ อาชีพนักขายคงเปรียบเสมือนตำแหน่ง “กองหน้า” ผู้ทำหน้าที่ “ยิงประตู” ให้กับทีม เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กรธุรกิจเลยก็ว่าได้ เพราะการยิงประตูคู่แข่ง มีความหมายสำหรับการทำให้ทีมของคุณเป็นผู้ชนะและคว้าแชมป์ได้เลย
ตำแหน่งกองหน้า นับว่าเป็นตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุด ถ้าเปรียบองค์กรเป็นทีมฟุตบอล ยิ่งคุณยิงประตูได้เยอะเป็นกอบเป็นกำ พาทีมสู้ศึกและคว้าแชมป์มานับไม่ถ้วน คุณย่อมเป็นดาราของทีม เป็นลูกรักของเจ้านายและบริษัท คุณย่อมได้รับค่าเหนื่อย ค่าคอมมิชชั่น และโบนัส พร้อมโอกาสการ “ถูกซื้อตัว” ไปอยู่ที่อื่นด้วยค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน มองๆ ดูแล้วทำอาชีพนี้ ถ้าทำได้ดี มีสิทธิ์รวยกว่าอาชีพอื่นในอายุเท่าๆ กันได้เลย
แน่นอนว่าทีมบอลดังๆ กว่าจะมีการ “เลือก” ให้คุณได้ลงตำแหน่ง “ตัวจริง” ก็ต้องมาจากฟอร์มการเล่นของคุณ ตั้งแต่การซ้อม การลงสนามจริง การเล่นเป็นทีม การเข้าใจแผนการเล่น ฯลฯ ซึ่งคุณจะต้องต่อสู้เพื่อตำแหน่งตัวจริงกับ “เพื่อนร่วมงาน” ของคุณนั่นแหละครับ
ดัชนีชี้วัดของการแข่งขันภายในองค์กรเพื่อให้ตัวคุณเป็นดาวเด่นและเก่งกว่าคนอื่นแบบ “ขาวสะอาด” ก็คือจำนวนลูกค้าที่ปิดได้และยอดขายนั่นเอง
มาดูวิธีคิดและวิธีลงมือทำง่ายๆ เพื่อให้คุณได้เป็น “สุดยอดนักขาย” เป็นเบอร์หนึ่งของบริษัทกันได้เลยครับ
1. ลงมือทำกิจกรรมทางการขายให้ “หนัก” กว่าคนอื่นอย่างน้อย 3 เท่า
กิจกรรมทางการขายก็คือ “งาน” ของเซลล์อย่างพวกคุณนี่แหละครับ ลองนึกดูว่าในฐานะที่คุณมีอาชีพเป็นเซลล์ คุณจะต้องทำงานอะไรเพื่อให้ได้เงินเข้ามาบ้าง
– คนอื่นโทรวันละ 10 สาย คุณโทรวันละ 30 สาย
– คนอื่นพบลูกค้าวันละ 1-2 ราย คุณพบลูกค้าวันละ 5-6 ราย (ทำงานเดือนละ 20 วัน คุณจะมีลีดถึง 100 ลีด)
– คนอื่นอัพเดทรีพอร์ทอาทิตย์ละครั้ง คุณอัพเดททุกวัน วันละ 10 นาที
– คนอื่นส่งใบเสนอราคาภายในสัปดาห์ คุณส่งใบเสนอราคาไม่เกิน 24 ชั่วโมงหลังพบลูกค้า
– คนอื่นโทรไปตามงานบ้าง คุณเข้าเยี่ยมลูกค้าเป็นกิจกรรมทุกสัปดาห์หรือสม่ำเสมอกว่า
คร่าวๆ ด้านบนคือกิจกรรมที่คุณต้องทำให้เหนือกว่า หมายความว่าคุณจะทำงานภายใน 8 ชั่วโมงได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือเซลล์คนอื่น ถ้านับแค่เรื่องทำนัด คุณจะมีลีดมากกว่าเพื่อนร่วมงานเกือบ 3 เท่า เพราะกว่าที่คุณจะทำนัดได้นั้น แสดงว่าคุณหาลีดที่ดีและมีความพยายามโทรทำนัด ยิ่งคุณมีลีดมากกว่าคนอื่นเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้เปรียบ เพราะตอนปิดการขายได้พร้อมกัน คุณจะมีเงินเข้ากระเป๋าเหลือเฟือเหนือคู่แข่งครับ แถมยังมีคอนเน็กชั่นมากกว่าเซลล์คนอื่นอีกด้วย เพราะรู้จักคนมากกว่า แถมยังหาเองแบบ 100% ไม่ได้พึ่งใคร
2. มีหัวใจของความเป็นเจ้าของกิจการ (Entrepreneurship)
ถ้าคุณมีมันแล้วล่ะก็ คุณจะไม่แพ้ใครหน้าไหนแน่นอนครับ แถมคุณยังจะ “รวยขึ้น” มากๆ ด้วย (ฮา) เพราะการมีหัวใจความเป็นเจ้าของกิจการก็คือการ “คิดให้เหมือนกับเจ้าของบริษัท” นั่นเองครับ หมายความว่า พวกเขาจะไม่หยุดเพียงแค่การทำยอดขายให้ “ถึงเป้า” แล้วเริ่ม “ใส่เกียร์ว่าง” ไม่ทำงาน หรือว่า “กั้ก” ตัวเลข ไว้โหลดลงในเดือนหรือควอเตอร์ถัดไป ซึ่งเซลล์ส่วนใหญ่มักทำแบบนี้เพราะจะได้ทำงานสบายขึ้น อย่างนี้เรียกว่าเซลล์แบบคอมฟอร์ทโซนครับ
เจ้าของกิจการเขาจะไม่ทำเช่นนั้น เพราะรู้ว่าการหยุดที่เป้า 100% หรือกั้กตัวเลขย่อมหมายถึงความเสี่ยง นี่คือโลกแห่งธุรกิจที่คุณไม่รู้ว่าพรุ่งนี้บริษัทคุณอาจจะเจ๊งเพราะนวัตกรรมที่เหนือกว่าก็ได้ หรือประมาทคู่แข่งมากเกินไป พอไม่ทำอะไร คู่แข่งก็ “เสียบ” คุณในจังหวะนั้น สรุปคือคุณเสียเหลี่ยมเพราะคุณไม่ทำงานเพิ่ม หรือแม้แต่การคิดถึงเรื่องผลกำไรให้บริษัท คุณจะรู้ดีว่าเกมการดั้มราคานั้นไม่ช่วยอะไร ไม่ได้ทำให้บริษัทคุณรวยขึ้นแต่อย่างใด แถมยังทำให้ทีมงานข้างหลังทำงานยากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนระดับเจ้าของฯ เขาไม่ทำกันครับ
3. ทำตามคนที่สำเร็จแล้ว “Copy” สิ่งดีๆ จากคนอื่นจนเก่งกาจ
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ ลองมองหาไอดอลรอบตัวที่เป็นเซลล์รุ่นพี่ จงตีซี้แล้วขอเป็นลูกศิษย์ ให้เขาสอนและแนะนำว่าทำยังไงถึงจะเก่งเหมือนเขา อย่าเสียเวลากับเพื่อนร่วมงานที่พาคุณลงเหว เช่น เพื่อนร่วมงานขี้เกียจ ไม่ทำงาน มีทัศนคติลบๆ นินทาคนอื่นไปวันๆ ไม่คิดถึงอนาคตข้างหน้า ไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่อยากรวย ยอมรับตัวเองว่าเป็นพวกขี้แพ้แล้วไม่ทำอะไรต่อ เป็นต้น
หรือถ้าไม่มีใครที่คุณเชื่อถือได้เลย ก็จงเชื่อถือและ Copy เจ้าของบริษัทคุณเป็นแบบอย่างนั่นแหละครับ ผมเชื่อว่าคนระดับเจ้าของ กว่าพวกเขาจะมีวันนี้ พวกเขาผ่านอะไรมาเยอะมากๆ และไม่ได้อยู่ในฐานะลูกจ้างบริษัทเสียด้วย ยิ่งเจ้าของคุณมีแบ็คกราวน์การสร้างบริษัทโดยไม่มีลูกค้าแม้แต่รายเดียวก็ยิ่งดีครับ คุณจะได้เรียนรู้สิ่งดีๆ จากพวกเขาด้วยหนึ่งสมองและสองมือได้เต็มที่ เช่น ถ้าเจ้าของบริษัทคุณคือคุณตัน คุณต๊อบ เจ้าสัว ฯลฯ คุณย่อมรู้เลยว่าพวกเขาสร้างบริษัทจาก 0 พวกเขาทำได้อย่างไรกันนะ? ลองเดินไปถามเจ้านายคุณและลงมือทำตามเลยครับ
4. คิดบวกอยู่เสมอ แม้เป็นช่วงที่กำลังพ่ายศึกก็ต้องมองโลกในแง่ดี
โลกแห่งการขาย เป็นโลกของโอกาส เปรียบได้กับฟุตบอลลูกกลมๆ ที่มีเวลา 90 นาที ทีมกระจอกก็สามารถเอาชนะทีมใหญ่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับการขายของคุณ คุณก็มีสิทธิ์ชนะคู่แข่งบริษัทใหญ่หรือขาใหญ่ในตลาดได้เหมือนกัน ถ้าคุณพยายามอย่างเต็มที่ มีความสม่ำเสมอ มองโลกในแง่ดี ทำงานให้เป็นมืออาชีพและคิดตลอดเวลาว่าเข้าไปขายใครก็จะปิดการขายได้ “Always be closing” (ABC) เป็นแนวคิดสำคัญที่คุณต้องยึดมั่นเอาไว้ในฐานะที่เป็นนักขายและนักธุรกิจนะครับ คนที่ทำสำเร็จมีอยู่รอบตัวคุณให้เรียนรู้และศึกษาแน่นอน
5. ฝึกขายตัวเองต่อหน้านายและเจ้าของบริษัทให้เก่งๆ
ผมได้ยินมาเยอะมากๆ ว่าคนที่ไม่โตในองค์กร บางคนทำงานเก่งแต่พรีเซนต์ตัวเองไม่เก่ง จึงไม่ได้ดีเท่ากับคนที่พรีเซนต์ตัวเองเก่งแต่ทำงานไม่เก่ง คุณเคยได้ยินประโยคนี้กันไหมครับ? ผมฟังแล้วผมก็งงและสงสัยมาตลอดว่าคนที่พูดนั้น ในเมื่อเขารู้ตัวว่าทำงานเก่ง (อาจจะคิดไปเอง) แต่พรีเซนต์ตัวเองไม่เก่ง จึงไม่ได้ดี แล้วทำไมเขาไม่แก้ไขตัวเองในส่วนนี้เพื่อให้พรีเซนต์เก่งๆ แก้จุดอ่อนของตัวเอง ทำให้ได้ดีบ้างล่ะครับ? หรือเป็นเพราะ “องุ่นเปรี้ยว” หรือ “อิจฉา” เพื่อนร่วมงานที่ดีกว่าก็ไม่รู้
วิธีพรีเซนต์ตัวเองให้เจ้านายรักและชอบแบบง่ายๆ สำหรับนักขายนั้นโคตรง่ายเลยล่ะครับ นั่นคือการไปบอกพวกเขาว่าคุณ “ปิดยอดขาย” กับลูกค้าที่ไหนบ้างนี่เองครับ ยิ่งมูลค่าสูงๆ ก็ยิ่งดี เพราะสิ่งเหล่านี้คือ “ข่าวดี” ที่พวกเขาอยากได้ยินเป็นอันดับหนึ่งเลยล่ะครับ คุณไม่จำเป็นต้อง “เลีย” นายแต่อย่างใด แต่จงพูดถึงความสำเร็จที่คุณทำให้พวกเขา “รวยขึ้น” สิ่งเหล่านี้แหละที่จะเข้าไปอยู่ในใจของพวกเขาและ “ฝั่งใจ” ทำให้คุณกลายเป็นลูกรักอันดับหนึ่งได้ครับ แล้วคุณจะไม่แพ้ใครหน้าไหนแน่นอน
หลายคนอาจจะคิดว่าทำไมโลกนี้ต้องมีการแข่งขัน แม้แต่การแข่งกับเพื่อนร่วมทีม แต่ผมบอกเลยนะครับว่าคุณหนีสภาพนี้ไม่ได้ตลอดชีวิตแน่นอน ตราบใดที่คุณอยู่ในโลกแห่งทุนนิยม ที่สำคัญคือคุณต้องแข่งกับเพื่อนมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะครับ ตั้งแต่สอบแข่งขันเข้าโรงเรียน มหาลัย กันเลยทีเดียว การฝึกตนเองเพื่อเป็นที่หนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่คุณควรทำ ถ้าอยากเป็นผู้นำ อยากประสบความสำเร็จ คุณต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้นะครับ
Comments
0 comments