เรียนรู้จากซีดาน…วิธีการเป็นผู้จัดการฝ่ายขายที่ยอดเยี่ยม
คุณอาจจะคิดว่าวันนี้จู่ๆ ผมเขียนเรื่องฟุตบอลซะอย่างนั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องการขายด้วยล่ะ?
.
ผมกำลังจะผูกเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมของคนที่ทำให้ทีมเรอัล มาดริด (Real Madrid) กลับมาเป็นแชมป์แห่งสเปนอีกครั้ง โดยเอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่างทีมบาร์เซโลน่า (Barcelona) ที่มีนักเตะระดับโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ (Leonel Messi) เนย์มาร์ (Neymar) และหลุยส์ ซัวเรส (Luis Suarez) ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลกขณะนี้
.
ปัจจัยที่ทำให้ เรอัล มาดริด กลับมาเป็นแชมป์ได้ ทุกคนทั่วโลกต้องให้เครดิตกับผู้จัดการทีมนามว่า “ซีเนดีน ซีดาน (Zinedine Zidane)” ซึ่งเรื่องของซีดานเองนั้น ผมเชื่อว่าคนตั้งแต่อายุ 25 ปี ขึ้นไป (ดักแก่ ฮา..) และชอบกีฬาฟุตบอล ไม่มีใครไม่รู้จักหรือไม่เคยเห็นการเล่นอันยอดเยี่ยมของซีดานเป็นแน่ เขาเป็นบุคคลที่คว้าแชมป์ฟุตบอลรายการใหญ่ทุกถ้วยที่มีการแข่งขันบนโลกใบนี้ ตั้งแต่แชมป์โลก แชมป์ยุโรป แชมป์ลีก ฯลฯ
.
หลังจากเลิกเล่นฟุตบอล ซีดานได้เรียนรู้งานโค้ชโดยได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการเป็นผู้จัดการทีม สอบหลักสูตร “UEFA Coaching License” และได้คุมทีมสำรองกับเป็นผู้ช่วยโค้ชของเรอัล มาดริดในยุคของคาร์โล อันเชล็อตติ (Carlo Ancelotti) ยอดโค้ชระดับโลกในขณะนั้น (ซึ่งซีดานพึ่งคุมทีมชนะทีมบาเยิร์น มิวนิก ของอันเชล็อตติในถ้วยยุโรปซะด้วย)
.
การโดนไล่ออกของราฟาเอล เบนิเตซ (Rafael Benitez) อดีดผู้จัดการทีมฯ ซีดานถูกดันให้เป็นผู้จัดการทีมชุดใหญ่เต็มตัว โดยมีนักเตะระดับโลกและแบ่งก๊กออกเป็นฝักเป็นฝ่าย เช่น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Christiano Ronaldo) กับก๊วนของนักเตะตัวเก๋า กับการมาของแกเร็ธ เบลล์ (Gareth Bale) และเหล่านักเตะดาวรุ่ง ซีดานได้ใช้ทักษะการบริหารทีมให้เป็นปึกแผ่น มีแท็กติกการวางแผนเกมที่ยอดเยี่ยม รวบรวมทีมสปิริตให้กลับมาเป็นหนึ่งอีกครั้ง ทำให้เขาคว้าแชมป์ยุโรปและแชมป์ลีกตั้งแต่สองปีแรกที่คุมทีมได้เป็นผลสำเร็จ
.
สิ่งที่ซีดานทำคือการลบคำถามของคนทั้งโลก นั่นคือนักเตะที่เก่งกาจระดับโลก พอมาเป็นผู้จัดการทีมกลับล้มเหลว เช่น ดิเอโก้ มาราโดน่า (Diego Maradona) มาร์โก ฟาน บาสเทน (Marco Van Basten) รอย คีน (Roy Keane) เป็นต้น ต่างกับผู้จัดการทีมหลายๆ คนที่ไม่เคยเป็นนักฟุตบอลระดับโลก เช่น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Sir Alex Ferguson) โชเซ่ มูรินโญ่ (Jose Mourinho) เป็นต้น แต่ประสบความสำเร็จในแง่ของการเป็นผู้จัดการทีมอย่างยิ่งใหญ่
.
การเป็นนักเตะที่เก่ง เวลาคุมทีมเอง อาจจะไม่เก่งเหมือนเล่นเองก็ได้ นั่นเป็นเพราะการเป็นผู้จัดการทีมต้องใช้ทักษะในการบริหารทีม เปรียบได้กับนักขายที่ต่อให้คุณเป็นเซลล์ที่ขายเก่ง เวลาคุณถูกดันให้ขึ้นไปคุมทีมขายซะเอง คุณอาจจะเป็นผู้จัดการฝ่ายขายที่ล้มเหลวก็ได้ครับ หากไม่เข้าใจวิธีการที่ถูกต้องและไม่ลงมือทำ
.
ถ้าวันใดวันหนึ่งคุณได้เป็นนักขายและมีทักษะที่ยอดเยี่ยมแล้วละก็ บริษัทฯ จะเห็นความสำคัญของคุณและอาจจะเลื่อนตำแหน่ง (Promote) ให้คุณเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย (Sales Manager) ผมกำลังจะบอกวิธีในการเป็นผู้จัดการฝ่ายขายที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเจ้าของบริษัทคุณจะรักมาก เพราะคุณสามารถสร้างคนให้มาสร้างรายได้เข้ากระเป๋าบริษัทได้เพิ่มขึ้นครับ มาดูเคล็ดลับกันเลย
1. คุณต้องเรียนรู้ทักษะการจัดการที่ยอดเยี่ยม
.
แน่นอนว่าทักษะการคุมทีมต่างกับทักษะการขายโดยสิ้นเชิง เพราะคุณต้องเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในการขายให้กับลูกน้องนักขายของคุณ มีเครื่องมือและวิธีการที่ถูกต้อง สามารถวัดผลได้ เพื่อให้ลูกน้องของคุณทำงานได้เหมือนคุณ แน่นอนว่าการคุมทีมต้องมีเรื่องของ “ระบบ” ที่สามารถวัดผลได้ เหมือนกับการแข่งฟุตบอลก็ต้องมีกุนซือเป็นผู้วางหมากในแต่ละเกมให้เข้ากับทีมมากที่สุด คุณควรหาแหล่งความรู้ที่เกี่ยวกับการบริหารคนและการสื่อสาร เช่น หนังสือดีๆ เข้าคอร์สอบรมการบริหารคนและเป็นผู้นำจากสถาบันต่างๆ ศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมในหลักสูตรแมเนจเมนต์ที่มีเอกสารรับรอง เป็นต้น มันเป็นเรื่องใหม่ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนจากการเป็นนักขายด้วยซ้ำไปครับ
.
2. คัดเลือกนักขายที่ใช่ด้วยวิธีการที่วัดผลได้
.
ผมเคยเขียนบทความ “วิธีการสัมภาษณ์งานขั้นเทพสำหรับนักขาย” ไปแล้ว ถ้าคุณได้บทบาทในการเป็นผู้สัมภาษณ์นักขายใหม่ สิ่งที่คุณควรทำคือการใช้คำถามที่วัดผลได้ในการคัดเลือกเซลล์ใหม่ให้ดี คำถามที่ควรถามมากที่สุดคือ “คุณมีวิธีการและวางแผนในการทำให้บริษัทของเรามียอดขายเพิ่มขึ้นจากคุณอย่างไร” คำถามนี้เป็นคำถามที่สำคัญที่สุดในการให้นักขายใหม่ได้พูดถึงวิธีการที่อยู่ในหัว ถ้าพวกเขาเล่าตั้งแต่การหาลีด โทรทำนัดวันละ x สาย เจอหน้าลูกค้าวันละ x ครั้ง นำเสนอ ติดตามงาน ปิดการขาย ได้อย่างเป็นระบบ คุณจงรีบคว้าตัวพวกเขาไว้เลยนะครับ ต่อให้เขาไม่ใช่เป็นคนพูดมากก็ตามที
.
เพราะคุณจะเจอนักขายอีกประเภทหนึ่งที่มาพร้อมกับคำพูดดีๆ บ่งบอกถึงทัศนคติที่ยอดเยี่ยม เช่น “ผมรักงานขาย ชอบงานขาย” “ผมตั้งใจจะทำเป้าให้เกิน 100%” “ผมเป็นคนอดทน สู้งาน อึด” “ผมคุยเก่งมากเวลาอยู่กับคนแปลกหน้า” ฯลฯ ซึ่งคำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งดี แต่มันวัดผลไม่ได้เพราะเป็นแค่ลมปาก ทุกคนที่มาสมัครงานโดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์ต้องทำเรื่องพวกนี้ให้ได้อยู่แล้ว จงระวังนักขายที่มั่นใจและบอกว่าตัวเองพูดกับคนแปลกหน้าเก่งมาก เพราะพวกเขามีจุดตายคือจะไม่ถามคำถามที่ดี คุยนอกเรื่องมากเกินไป ทำให้ใช้เวลาเยอะและไม่เกิดประโยชน์กับการขาย เป็นผู้ฟังที่ไม่ดี สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบมากๆ กับการขายแบบที่ปรึกษาหรือโซลูชัน
.
3. บริหารกิจกรรมทางการขายของทีมขายให้ดี
.
สิ่งที่คุณควรทำคือการกำหนดกิจกรรมทางการขาย (Sales Activity) ของลูกน้องให้เป็นระบบและมีวินัย คุณสามารถเอาจุดแข็งจากการเป็นนักขายที่มีกิจกรรมเยอะและมีวินัยของคุณ ถ่ายทอดให้กับลูกน้องของคุณให้ทำตามคุณ เช่น
-
กำหนดกิจกรรมการโทรหาลูกค้าใหม่และเก่า (Cold and Warm Calling) วันละ 20 สาย
-
นักขายแต่ละคนต้องทำนัดใหม่และเก่าเฉลี่ยรวมวันละ 4-5 นัด
-
แต่ละคนใช้เวลาในการพบลูกค้าไม่เกินคนละ 1 ชั่วโมง (ในกรณีที่สามารถทำได้)
-
กำหนดส่งเซลล์ รีพอร์ททุกๆ สุดสัปดาห์
-
ส่งใบเสนอราคาให้ลูกค้าเร็วที่สุด (ภายใน 24 ชั่วโมงยิ่งดี)
-
ฯลฯ ที่คุณเคยทำในฐานะนักขายมาก่อนและดีทั้งหมด
กิจกรรมทางการขายที่ดีของลูกน้องจะทำให้คุณชื่นใจและมีรอยยิ้มทุกครั้งเวลาที่พวกเขาทำนัดลูกค้ารายใหม่ที่ไม่เคยเข้าไปขายมาก่อนได้ ซึ่งก็หมายความว่าโอกาสในการขายของทีมที่เพิ่มขึ้น เพราะคุณทราบดีอยู่แล้วว่ายอดขายจะมาได้ก็ต่อเมื่อการมีไปป์ไลน์ที่มากขึ้น กว่าจะขายได้ มันต้องมาจากกระบวนการตั้งแต่โทรทำนัดใหม่ นำเสนอ ติดตามงาน ปิดการขาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลูกน้องคุณทำได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้คุณ
.
4. คัดกรองเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการขายของทีมขายออกไป
.
นักขายหลายๆ คนคงเคยปวดหัวกับสิ่งที่ทำให้คุณเสียเวลาในการออกไปพบลูกค้า เช่น งานเอกสาร (Proposal) ที่ยาวเหยียด (โดยเฉพาะอุตสาหกรรม IT และราชการ) ประชุมเซลล์ที่ถี่เกินไป นานเกินไป ประชุมกับทีมอื่นเพื่ออัพเดทสินค้าหรือเข้าคอร์สอบรมต่างๆ ที่อาจจะไม่มีประโยชน์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้กำลังเป็นตัวถ่วงของทีมคุณ เสียเวลาและโอกาสในการเข้าพบลูกค้า คุณควรใช้อำนาจในการคัดกรองเรื่องเหล่านี้ออกไปให้ทีมทำงานง่ายขึ้น เช่น
-
จ้างทีม Sales-Coordinator เพื่อช่วยทีมขายในการทำเอกสารที่เสียเวลา
-
จ้างทีมเทเลเซลล์ (Telesales) ในการช่วยโทรทำนัดลูกค้าใหม่และทำใบเสนอราคาให้ทีมขาย
-
จัดประชุมทีมขายเพื่อรีวิวไปป์ไลน์ของนักขายแต่ละคนที่กำลังจะปิดได้ในแต่ละเดือนเท่านั้น
-
ไม่จำเป็นต้องให้ลูกน้องเข้าออฟฟิศทุกวันถ้าทำนัดได้เยอะทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ให้ลูกน้องคุณลุยได้เลย ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเข้ามาเลยก็ได้ เพราะมันไม่มีประโยชน์
-
อะไรที่ใช้เวลานานๆ เช่น งานสัมมนาจากคู่ค้า (Partner) ที่เชิญทีมขายคุณไปฟัง จงดูให้ดีๆ เพราะหลายๆ งานใช้เวลาทั้งวัน แถมเป็นข้อมูลยุ่บยั่บยาว 50 หน้า ซึ่งไม่ได้ทำให้พวกคุณขายง่ายขึ้นแม้แต่น้อย เพราะลูกค้าเขาไม่ได้มานั่งฟังด้วยและลูกค้าไม่ชอบฟังข้อมูลยาวเหยียดน่าเบื่อแบบนี้
สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ทีมคุณโฟกัสกับการขายและ “ลูกค้า” ได้ดีเยี่ยมมากขึ้น
.
5. วางแผนออกตลาดกับทีมขายอย่างสม่ำเสมอ
.
คุณเคยเห็นผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ไม่ได้คุมทีมข้างสนามไหมครับ คงเป็นเรื่องแปลกเพราะถ้าคุณไม่ได้สั่งการลูกน้องที่อยู่ตรงหน้า คุณจะรู้ได้ยังไงว่าลูกทีมคุณเตะบอลยังไง ถูกไหมครับ การขายก็เหมือนกัน หน้าที่ของคุณคือการไปคุมลูกน้องโดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอยู่ต่อหน้าลูกค้า คุณควรวางแผนออกตลาดกับลูกน้องทุกวันหรือบ่อยครั้งที่สุด แผนการที่ดีควรจะมีตารางการทำนัดกับลูกค้าจากลูกน้อง โดยที่คุณเลือกไปกับลูกน้องแต่ละคนเป็นรายวัน เช่น
-
คุณมีลูกน้อง 5 คน ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ คุณอาจจะไปกับลูกน้องวันละคน เต็มวัน โดยที่ให้พวกเขาเป็นคนทำนัดและส่งตารางมาให้คุณเพื่อไปหาลูกค้ากับลูกน้อง
-
ถ้ามีลูกน้องมากหรือน้อยกว่านั้น ควรแบ่งเวลาให้ไปกับทีมขายทุกคนให้ได้มากที่สุด
-
ไม่ควรออกไปขายเองคนเดียว (แล้วอย่างนี้จะมีลูกน้องไว้ทำไม?)
-
ถ้ามีลีดใหม่ๆ ควรแบ่งให้ลูกน้องแต่ละคนเท่าๆ กัน แล้วคุณก็ออกตลาดไปด้วยกับทีม
เรื่องนี้ผมให้น้ำหนักมากเพราะเป็นหน้าที่ที่คุณจะได้สังเกตลูกน้องคุณแต่ละคน วัดผลการทำงานพวกเขาได้อย่างแม่นยำ เพื่อนำสิ่งเหล่านี้มาปรับปรุงทีมให้ดีขึ้น
.
6. ออกไปขายกับทีมขายเพื่อช่วยเหลือและโค้ชชิ่ง
.
ถ้าคุณเป็นหัวหน้าที่มัวแต่นั่งตากแอร์ในออฟฟิศ ไม่เคยออกไปขายกับลูกน้อง หรือมัวแต่ประชุมหัวฟูทั้งวัน สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือนั่นเป็นสัญญานที่ก่อให้เกิด “หายนะ” กับทีมขายและยอดขายของคุณทางอ้อม เพราะคุณไม่มีทางรับรู้เลยว่าลูกน้องของคุณเวลาไปเจอลูกค้า พวกเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง มีปัญหาหรือต้องการคำแนะนำที่ถูกต้องแบบไหนบ้าง สุดท้ายเวลาลูกน้องของคุณขายไม่ได้ คุณก็จะเริ่มโทษสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น ลูกน้องห่วย ไม่เก่ง ไม่ได้เรือง จากนั้นก็ไล่ออก (คุ้นๆ ไหมครับ ฮา..) ทั้งๆ ที่คุณนั่นแหละที่ไม่เคยช่วยเหลืออะไรพวกเขาเลยต่างหาก
.
จงออกไปขายกับทีมขาย โดยแบ่งเวลาให้ดีซะ เพื่อความทั่วถึง สิ่งที่คุณจะได้เห็นเลยก็คือทักษะการขายของลูกน้องคุณแบบต่างๆ สัญญานจากลูกค้า การนำเสนอ ถามคำถาม ปิดการขาย ต่อรองเจรจา ฯลฯ ที่ลูกน้องคุณทำงานต่อหน้าลูกค้า เวลาคุณเห็นลูกน้องมีปัญหา คุณจะได้แก้ไขได้ทันและเป็นการโค้ชชิ่งลูกน้องไปในตัวในสิ่งที่พวกเขาควรทำ-ไม่ควรทำ คุณจะได้รับความเชื่อใจจากลูกน้องเพิ่มขึ้น และได้แสดงทักษะการขายที่ยอดเยี่ยมของคุณต่อหน้าลูกน้องให้เห็นจริงๆ เพื่อให้ลูกน้องเรียนรู้จากสถานการณ์จริงและนำวิธีการที่ถูกต้องไปใช้ได้
.
7. ลงมือ “ขาย” ให้ทีมขายดูเป็นตัวอย่าง
.
การลงมือทำให้ดู เป็นตัวอย่างการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ลูกน้องคุณจะเรียนรู้ได้เร็วที่สุดเพราะพวกเขาเห็นวิธีการที่ถูกต้องและเห็นการตอบสนองของลูกค้าแบบ “ต่อหน้าต่อตา” พวกเขาจะมอบความไว้วางใจและเคารพคุณมากขึ้นถ้าคุณลงมือทำให้พวกเขาดูเป็นตัวอย่าง จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณได้แต่ “สั่ง” แบบไม่มีตัวอย่างให้พวกเขาดู ถ้าพวกเขาคิดว่าสิ่งที่คุณพูดมันไม่เวิร์กเมื่อไหร่ คุณจะถูกลูกน้องเอาไปนินทาลับหลังทันที (ฮา..) ลูกน้องจะทำงานได้ไม่ดี ถึงแม้ว่าวิธีการจะถูกต้อง เลวร้ายที่สุดก็คือไม่เชื่อฝีมือคุณอีกต่อไป ลาออกไปอยู่ที่อื่น หรือก่อคลื่นใต้น้ำ ไม่ตอบสนองคุณเท่าไหร่ เพื่อให้คุณโดนไล่ออกซะเอง (555)
.
ลองนึกถึงทีมฟุตบอลบางทีมที่โดนเรียกว่า “เล่นไล่โค้ช” นะครับ ตัวอย่างเช่นทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ปีที่แล้วพึ่งได้แชมป์อังกฤษ (มีเจ้าของคือ King Power) แต่ปีนี้ผู้จัดการทีมคนที่ทำให้ได้แชมป์กลับโดนไล่ออก พอไล่ปุ๊บผลงานของทีมกลับมาดีเลย นักเตะโทษว่าเป็นผลงานของผุ้จัดการทีม นี่แหละครับที่เรียกว่าเล่นไล่โค้ช การทำงานก็เหมือนกัน (ฟุตบอลกับคุมทีมขายมันช่างเหมือนกันเหลือเกิน)
.
8. จัดประชุมทีมขายเพื่อรีวิวเซลล์รีพอร์ททุกเดือน
.
สั้นๆ ครับ จะได้รู้ว่าลูกทีมมีไปป์ไลน์ (Pipeline) กี่ไปป์ เดือนนี้จะมีตัวเลขเข้ามากี่เจ้า คุณจะได้เอาตัวเลขไปรายงานกับเจ้าของบริษัทหรือ CEO ได้ง่ายและแม่นยำยังไงล่ะครับ สิ่งที่คุณควรช่วยเหลือในการประชุมแต่ละครั้งคือการฝึกทักษะให้ลูกทีมทำนายช่วงซื้อของลูกค้าให้แม่นยำ (ซึ่งมาจากคำถามเกี่ยวกับช่วงซื้อของลูกค้าที่คุณสอนพวกเขา) ไปป์ไลน์ที่สม่ำเสมอ (ซึ่งมาจากกิจกรรมการขายเช่น การโทร ติดตามงาน ที่คุณสอนพวกเขา) และใช้โอกาสนี้ในการประกาศเป้าหมายให้กับทีม กล่าวชมเชยการทำงานของทีม กระตุ้น สร้างขวัญและกำลังใจให้กับทีมเพื่อให้เขาออกไปรบครั้งใหม่
9. บริหารจัดการเรื่องลูกค้าอย่างยุติธรรม (Account Management)
.
หลายๆ บริษัทอาจจะไม่ได้มีระบบการขายแบบนักล่า (Hunter-Based) แต่เป็นแบบ (Account-Based) โดยเฉพาะกับองค์กรขนาดใหญ่ซึ่งมีลีดรายชื่อลูกค้าอยู่แล้ว ในระบบนี้ นักขายแต่ละคนจะได้รายชื่อลูกค้าที่ต้องดูแลแบ่งตามอุตสาหกรรม (Industry) หรือเขตพื้นที่ (Territory) ซึ่งทั้งสองระบบจะมีความเหมือนกันนั่นคือเซลล์แต่ละคนจะได้ดูแลเฉพาะสิ่งที่ระบบกำหนดลูกค้ามาให้เท่านั้น ไปวิ่งทับของเซลล์คนอื่นไม่ได้ เช่น คนที่ดูลูกค้ากลุ่มการเงิน ไม่สามารถไปแย่งขายกลุ่มที่ดูราชการได้
.
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญทั้งนักขายที่ยอดขายดีกับนักขายที่ยอดไม่ดี เพราะบางทีที่ยอดขายดีอาจเป็นเพราะนักขายคนนั้นดวงดี ลูกค้ารายใหญ่ลงทุนซื้ออย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเหมือนจะดีนะครับ แต่ถ้าคุณไม่ไปออกตลาดและตรวจสอบกิจกรรมทางการขายของนักขายคนนั้นเลย คุณจะพบว่าบางทีเขาอาจจะไม่ได้โทรหาลูกค้าใหม่ ไม่มีนัดลูกค้าใหม่ เป็นนักขายที่ยอดถึงเป้าแล้วก็ไม่ทำอะไรต่อ เป็นต้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงอย่างมหาศาลในกรณีที่ลูกค้าไปซื้อคู่แข่งหรือการเมืองเปลี่ยน ตัวเลขลูกค้ารายใหญ่นี้จะกลายเป็น 0 ทันที คุณก็อาจจะเก้าอี้ร้อนก็ได้
.
ส่วนนักขายที่ขายไม่ดี คุณอาจจะลองสลับเอานักขายที่ตัวเลขเยอะไปดูแลกลุ่มลูกค้าที่ทำให้นักขายคนนั้นขายไม่ดีบ้าง เพื่อดูการเปรียบเทียบว่านักขายคนนั้นไม่ดีพอ หรือเป็นเพราะกลุ่มลูกค้าที่ขายยากจริงๆ จะได้กระจายลูกค้าหรือลีดใหม่ๆ เพื่อช่วยเรื่องตัวเลขนักขายคนนั้นครับ
เรื่องของการบริหารทีมขายและการเป็นผู้จัดการฝ่ายขายนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมเองก็เป็นผู้จัดการทีมที่คุมนักขาย Gen-Y และ Gen-Z เป็นหลักและได้ใช้ “ระบบ” ในการบริหารทีม ผมเชื่อว่าถ้าองค์กรมีระบบที่ดี วิธีการที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้ความสามารถจากนักขายที่ดีถูกถ่ายทอดให้กับทีมอย่างเป็นระบบ เล่นเป็นทีมย่อมมีโอกาสสำเร็จมากกว่าเล่นคนเดียวครับ
Comments
0 comments