วิธีบริหารเงินอย่างฉลาดสำหรับนักขาย
“ถ้าคุณเป็นนักขายที่ยอดเยี่ยมแล้ว คุณก็ควรบริหารเงินที่ได้มาให้ดีด้วย”
นักขายที่ประสบความสำเร็จย่อมได้รับรางวัลที่เป็นค่าตอบแทนจาก ‘น้ำพักน้ำแรง’ ของคุณซึ่งสามารถจับต้องได้เป็นตัวเงิน และสามารถนำค่าคอมมิชชั่นที่ได้มา ต่อยอดไปสู่ความมั่งคั่ง เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเป็นเศรษฐีให้กับคุณได้ในอนาคต
ก่อนอื่นต้องขอปรบมือดังๆ ให้กับนักขายที่ได้รับค่าตอบแทนจากความสามารถทางการขายของคุณด้วยนะครับ แต่ก็อีกนั่นแหละ บางทีชีวิตก็ไม่ได้สวยงามเสมอ หลายๆ คนได้เงินมามากแต่ก็ใช้มากเป็นเงาตามตัว ได้เงินาเยอะแต่ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิต ‘มั่งคั่ง’ ขึ้นแต่อย่างใด ยังหมุนเงินแบบเดือนชนเดือน เลวร้ายกว่านั้นคือเป็นหนี้พอกพูนขึ้นเป็นดินพอกหางหมู กลายเป็นวัตจักร ‘หนูถีบจักร’ ซึ่งคุณจะหลุดจากวงจรชีวิตแบบนี้ได้ยากมาก
จริงๆ แล้วพวกคุณไม่ผิดนะครับ คุณอาจจะขาดความสามารถในการบริหารเงิน เพราะแทบทั้งชีวิตคุณอุทิศให้กับการขายและลูกค้านั่นเองครับ ผมจึงขอมอบวิธีการบริหารจัดการเงินสไตล์นักขาย เพื่อให้คุณปกป้องเงินที่ได้มาอย่างยากลำบากและนำไปใช้ต่อยอดอนาคตของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
1. ควรใช้เงินในการเลี้ยงลูกค้า พาร์ทเนอร์ เฉพาะที่มีโอกาสขายได้จริงๆ เท่านั้น
วัฒนธรรมการเลี้ยงอาหารลูกค้า สำหรับองค์กรไทยหรือต่างชาติ เช่น ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฯลฯ นับว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมทางการขายที่ใช้สร้างความสัมพันธ์และทำให้การขายคืบหน้าได้อีกวิธีหนึ่ง ถ้าคุณใช้ทักษะทางการขายเพื่อให้ลูกค้าคายความลับที่ดี วางตัวดี และไม่เมาเหมือนหมาต่อหน้าลูกค้า (ฮา..)
สิ่งที่คุณควรคิดและประเมินก่อนจ่ายตังเลี้ยงลูกค้าเป็นอันดับแรกคือ ‘โอกาสที่ลีดนี้จะขายได้’ ซึ่งถ้าเอาชัวร์ที่สุดคือหลังจากที่ปิดดีลเรียบร้อยแล้วและต้องการเลี้ยงลูกค้าเพื่อขอบคุณ (จริงๆ ก็คือเอาเงินลูกค้ามาเลี้ยงนั่นแหละ 555) หรือถ้ายังปิดไม่ได้ ก็ควรประเมินว่าโอกาสที่ลูกค้าจะซื้อนั้นต้องสูงจริงๆ เพราะไม่งั้นก็เสียเงินเปล่าๆ
สำหรับการเลี้ยงพาร์ทเนอร์ สิ่งที่คุณต้องได้มาก่อนจ่ายตังก็คือ ‘ลีด’ ที่พาร์ทเนอร์หามาให้และ ‘Commit’ กับคุณว่าจะขายได้จริงๆ หรือถ้าเอาชัวร์ๆ ก็คือพาร์ทเนอร์ของคุณปิดดีลมาให้คุณได้เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังสามารถเลี้ยงพาร์ทเนอร์ที่ทำงานกับคุณมายาวนานอย่างสม่ำเสมอ ก็ถือว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่มากกว่า ‘เงิน’ ได้ดีเช่นกัน
2. วางแผนการจัดการด้านภาษีอย่างรัดกุม
ใครจะไปคิดว่าเรื่องง่ายๆ อย่างการเสียภาษี ก็สามารถทำให้คุณ ‘ถูกน๊อค’ แทบจะล้มทั้งยืนได้เมื่อเห็นหมายเรียกเรื่องภาษีย้อนหลัง
การได้เงินและใช้เงินอย่างมือเติบ ได้มาเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น จะส่งผลให้คุณ ‘ปวดหัว’ ตอนต้นปีหน้าเพราะเรื่องของภาษี ซึ่งคุณต้องจ่ายภาษีเงินเดือน (40/1) ยังไม่พอ คุณยังต้องจ่ายภาษี ‘ค่านายหน้า’ (40/2) ที่รัฐบาลจะหักจากคุณด้วย
ตัวช่วยที่ง่ายที่สุดคือหลายๆ องค์กรจะมีทางเลือกให้คุณตัดสินใจว่าจะให้บริษัทหักรายได้ของคุณ นำส่งสรรพากรทุกเดือนเลยหรือไม่ (หัก 7% จากฐานเงินเดือน) ซึ่งข้อดีคือคุณจะลดการปวดหัวจากการจ่ายภาษีต้นปีหน้าได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรมากมายนัก แต่ข้อเสียก็คือคุณจะต้องทนเห็นเงินของตัวเองถูกหักไปเรื่อยๆ ทุกเดือน ซึ่งยิ่งได้เงินเดือนหรือค่าคอมฯ มาเยอะ เงินของคุณก็จะถูกหักออกไปเยอะตาม
แต่ถ้าไม่มีการหักและบริษัทจ่ายเงินให้คุณเต็มจำนวน ผมขอให้คุณรีบวางแผนเรื่องเงินเดี๋ยวนี้เลย ด้วยการทำไฟล์ Excel ส่วนบุคคลง่ายๆ กรอกรายละเอียดให้ครบถ้วนว่าเงินได้แต่ละเดือนเป็นเท่าไหร่ และใส่สูตรหักค่าใช้จ่ายออกมาเพื่อความง่าย จากนั้นจงเตรียมออมเงินในบัญชีให้เพียงพอต่อการจ่ายภาษี คิดเสมอว่าเป็นหน้าที่ของคนไทย คุณก็จะไม่มีปัญหาปวดหัวเรื่องการจ่ายภาษีอีกต่อไปในต้นปีหน้า
3. ใส่ใจเรื่องระบบเบิกค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมทางการขายให้ละเอียด
หลายๆ บริษัทมีสวัสดิการให้พนักงานขายสามารถเบิกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการขายได้เต็มจำนวน เช่น เลี้ยงข้าวลูกค้า เลี้ยงข้าวทีมงาน ซื้อกาแฟ ซื้อของ ซื้อทัวร์ ฯลฯ ให้กับลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์
ถ้าคุณขาดความละเอียดในการส่งเอกสารเบิกค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของบริษัท เช่น ลืม ขาดใบเสร็จและใบกำกับภาษีในการใช้เงินแต่ละครั้ง เป็นต้น คุณก็อาจจะเสียสิทธิ์ในการเบิกค่าใช้จ่ายก็เป็นได้ ส่งผลให้การจ่ายเงินของคุณนั้น ‘เข้าเนื้อ’ และทำให้คุณขาดทุนไปตามระเบียบ
สิ่งที่ต้องใส่ใจคือตรวจเช็คสิ่งที่บริษัทต้องการข้อมูลเพื่อเบิกค่าใช้จ่ายให้ดี เช่น เส้นตายในการส่งเอกสาร บิลเงินสดและใบกำกับภาษี นามบัตรลูกค้า (ถ้ามี) และควรเก็บเอกสารทุกอย่างให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพื่อทำการรวบรวมให้ครบในแต่ละครั้ง ทีมการเงินของคุณก็จะได้ประโยชน์จากการทำงานที่ง่ายขึ้น ส่งผลให้คุณได้รับเงินเบิกค่าใช้จ่ายได้อย่างครบถ้วน ตรงเวลา ไม่ขาดทุน ที่สำคัญคือฝ่ายการเงินก็จะรักคุณมากขึ้นด้วย (ฮา..)
4. ค่าน้ำมันและการเดินทาง ใครว่าไม่สำคัญ
องค์กรที่ดี ควรมีสวัสดิการด้านการเดินทางให้กับพนักงานขายได้อย่าง ‘ไม่อั้น!’ แต่ในสภาพเศรษฐกิจอย่างนี้ การเอื้อประโยชน์เรื่องค่าน้ำมันให้กับพนักงานมากเกินไปก็นับว่าเป็นความเสี่ยงและเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง เผลอๆ ยอดขายก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายอีกด้วย ดังนั้นหลายบริษัทจึงกำหนดเพดานเรื่องค่าเดินทางขึ้นมา
ซึ่งจะมากหรือจะน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับความสำคัญที่ผู้บริหารมองเห็นในเรื่องนี้ด้วย ถ้าแบบซวยๆ คุณอาจจะไม่ได้ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วนเลยแม้แต่บาทเดียวด้วยซ้ำ (ซึ่งขอแนะนำให้คุณเปลี่ยนบริษัทเถอะ)
ในเมื่อได้เงินมาแล้ว คุณควรบริหารการเดินทางให้ดี สูตรง่ายๆ สำหรับนักขายขั้นเทพที่มีนัดเยอะต่อวัน นั่นคือการทำนัดลูกค้าแต่ละรายให้อยู่ในย่านที่ใกล้เคียงกัน ใช้เวลาเดินทางไม่นานในการเข้าพบแต่ละที่ ไม่ควรนัดลูกค้าที่อยู่คนละโซน เช่น 9 โมงคุณนัดลูกค้าแถวรังสิต 11 โมง คุณนัดลูกค้าแถวบางนา อย่างนี้ถือว่าไม่ดี
การเดินทางที่ใกล้ จะทำให้คุณเซฟเงินค่าน้ำมัน+ทางด่วนไปได้เยอะมากๆ ใช้ GPS นำทางอย่าง Google Maps เป็นเครื่องมือเสริม (เพราะมันฉลาดมากและบอกทางลัดที่เร็วที่สุดให้คุณได้) ซึ่งข่าวดีก็คือคุณอาจจะเซฟค่าน้ำมันไปได้เยอะ และทำให้ค่าน้ำมัน+ทางด่วน กลายเป็นเงินกินเปล่าเพิ่มขึ้นมา กำไรกันไปถ้วนหน้า
แต่ถ้าบริษัทไหนให้เป็น ‘Fleet Card’ ซึ่งก็คือรูดเติมตามจริง อันนี้แนะนำว่าให้วิ่งให้มากที่สุด นัดเยอะๆ ยังไงคุณก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้เต็มๆ อยู่แล้วครับ
5. เลือกซื้อรถยนต์ที่เน้นสมรรถนะที่สมดุลกับการซ่อมบำรุง ไม่จุกจิก
รถยนต์ ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทำมาหากินกับเซลล์ ถ้าคุณโชคดีก็อาจจะได้รถประจำตำแหน่ง แต่โดยมากแล้ว บริษัทส่วนใหญ่มักจะให้คุณมีรถเอง โดยออกแค่ค่าน้ำมัน+ทางด่วน หรือค่าเสื่อมรถด้วยเงินน้อยนิดแค่นั้น (น่าเศร้าจริงๆ)
การที่คุณขับรถออกไปขายในแต่ละวันนั้น ถือว่าคุณมี ‘ความเสี่ยง’ ในเรื่องชีวิตและทรัพย์สิน จงขับรถอย่างระมัดระวัง ทำประกันชั้น 1 เอาไว้เสมอ เพราะถ้ารถชนขึ้นมา คุณจะเสียทั้งเวลา ทรัพย์สิน และชีวิตก็เป็นได้
ถ้าคุณเป็นเซลล์ที่ต้องมีรถคันแรกหรือรถคันที่สอง ควรเลือกพิจารณารถที่คุ้มกับการลงทุน อย่าเอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นหลัก เช่น การซื้อรถแปลกๆ เพราะเอาเท่ห์ ไม่ต้องการเหมือนใคร แต่ค่าซ่อมแพง พังง่าย ขายต่อยาก เป็นต้น
รถที่ดีควรเป็นรถยี่ห้อตลาดๆ เช่น Toyota, Honda, Mazda เป็นต้น เพราะเป็นรถที่ค่าซ่อมบำรุงไม่แพง อย่าเลือกรถที่มีดราม่าเต็มไปหมดในพันทิป รถที่ดีควรมีศูนย์บริการมาตรฐานเยอะๆ ทนทาน ไม่จุกจิก จะทำให้คุณประหยัดค่าซ่อมและลดการเสียสุขภาพจิตได้ดีขึ้นมาก ที่สำคัญคือคุณต้องคิดเผื่อด้วยว่าราคาขายต่อมือสองเป็นอย่างไร คนนิยมเล่นหรือไม่ สีที่ควรซื้อก็ควรเป็นสียอดนิยม จะได้ขายต่อง่ายๆ เช่นสีขาว บรอนซ์เทา ดำ เป็นต้น ไม่ควรเลือกสีประหลาดๆ ที่ไม่ค่อยมีคนขับเพราะขายต่อยาก คุณคงไม่ขับรถคันเดิมไปเป็นสิบๆ ปีหรอกนะครับ
ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าเวลารถเสีย เข้าศูนย์ เปลี่ยนยาง ฯลฯ คุณเองมีโอกาสที่จะต้องจ่ายเองทุกกรณี นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น มันจะดูดเงินได้ของคุณไปเรื่อยๆ ถ้าคุณเลือกรถที่ไม่ดี มันจะอยู่ดูดเงินจนกว่าคุณจะขายครับ!
6. ศึกษาและเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี
ใครว่าการเสียภาษี มีแต่ข่าวร้าย ผมขอให้คุณเปลี่ยนความคิดเสียใหม่นะครับ เพราะสิ่งเหล่านี้คือหน้าที่ของคุณในการอยู่ในประเทศนี้ครับ ซึ่งคุณควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีให้ครบถ้วน
สิ่งแรกก็คือสิทธิ์ลดหย่อนขั้นพื้นฐาน เช่น แต่งงาน มีบุตร เลี้ยงดูพ่อแม่ ฯลฯ สิ่งที่สองคือการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ได้รับสิทธิ์ในการหักภาษีออกไปครับ ตัวอย่างเช่น
-
ประกันชีวิต – สามารถหักลดหย่อนได้หลักแสน แถมยังทำให้คุณได้เงินยามที่คุณป่วยหนักหรือตายไปได้ด้วย
-
กองทุนรวม – สามารถหักลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท แถมยังเป็นการลงทุนที่ให้เงินทำงาน ถ้าเลือกดีๆ ก็ได้เงินโดยที่คุณไม่ต้องเหนื่อยเลย (การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุนทุกครั้ง)
-
การบริจาคเงิน – สามารถลดหย่อนได้หลักแสน ถ้าบริจาคให้กับองค์กรที่ได้รับการรับรองเรื่องการหักภาษี แถมยังได้บุญ ได้ช่วยเหลือคนในสังคม ซึ่งเรียกว่าเป็นกิจกรรม CSR อีกทางหนึ่งนั่นเอง
ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เรียกได้ว่าทำให้คุณวิน-วิน ทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะจะทำให้คุณได้หลักประกันหรือสินทรัพย์ที่สร้างความมั่งคั่ง โดยที่ยังเสียภาษีเท่าเดิม เรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของการสร้างเนื้อสร้างตัวให้เป็นคนรวยเลยก็ว่าได้
7. กิน เที่ยว ดื่ม อย่างประหยัด อย่าใช้เงินเกินตัว
เรื่องนี้คงไม่ต้องสอนเนอะ ได้เงินมาเท่าไหร่ ก็ใช้เงินให้พอดี โดยแบ่งสัดส่วนการใช้เงิน ดังนี้
-
ค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนคอนโด ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าไฟ ค่าน้ำ ฯลฯ พวกนี้คือ Fixed Cost ควรควบคุมไม่ให้เกิน 60% ของรายได้
-
เงินออม ควรควบคุมให้ออมได้ 20% ของรายได้
-
เงินลงทุน ควรนำเงินไปลงทุน เช่น หุ้น กองทุนรวม ฯลฯ 10% ของรายได้
ถ้าทำได้ประมาณนี้ รับรองได้ว่าภายในห้าปี คุณได้จับเงินล้านแน่ๆ ครับ เงินเดือน+ค่าคอมไม่เท่าไหร่ จงเจียมเนื้อเจียมตัวเสมอ รถไม่จำเป็นต้องแพง มือถือไม่จำเป็นต้องหรูหรา แบรนด์เนม ยังไม่จำเป็นต้องซื้อ งดปาร์ตี้ไร้สาระ งดบฟเฟต์ อาหารญี่ปุ่นราคาแพง กินฟู้ดคอร์ทก็พอ (ถ้าเป็นไปได้) ไม่ต้องสนหรือแคร์ว่าใครจะดูถูก เอาไว้คุณรวยแล้วค่อยซื้อเบนซ์ไปตอกหน้ามันเลยครับ ทีเดียวจบ (ฮา..)
8. ใช้ทักษะในการขายของคุณในการหารายได้เสริม
ในเมื่อคุณมีทักษะเซลล์ที่ดีอยู่แล้ว ทำไมไม่ใช้มันในการขายเพื่อตัวคุณเองนอกเวลางานบ้างล่ะครับ?
ผมขอแนะนำให้คุณลองขายในสิ่งที่ชอบหรือไม่เหนือบ่ากว่าแรง เช่น สินค้ากำไรดีผ่านทางเฟสบุ้ค ออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งเผลอๆ ขายง่ายกว่าการขายแบบ B2B ที่คุณทำซะอีก ที่สำคัญคือใช้เวลาน้อย ไม่ต้องลงทุนมาก สามารถทำนอกเวลางานได้ ทำได้คุณมีรายได้ทั้งงานประจำและงานเสริม เผลอๆ งานเสริมของคุณอาจจะเติบโตจนมีรายได้สูงกว่างานประจำของคุณเลยก็ได้
ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับงานขายเสมอไป เช่น คุณมีทักษะทางดนตรี ภาษา ทำอาหาร การตลาด ความสามารถพิเศษ คุณอาจจะผันตัวมาทำเพจและเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือกูรูเรื่องนั้นไปเลยก็ได้ โดยใช้ทักษะในการ ‘ขายตัวเอง’ และให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ คุณก็จะสามารถใช้ความสามารถในการหาเงินได้อีกทางนึงเช่นกัน
คนที่มีทักษะการขายที่ดีและสามารถบริหารการเงินได้อย่างยอดเยี่ยม จะเป็นผู้ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะไม่มัวแต่หลงระเริงกับการได้เงินมามาก จนใช้เงินโดยไม่รู้จักเก็บ ซึ่งถ้าคุณขาดการบริหารเงินที่ดี ต่อให้ได้ค่าคอมมาเป็นล้าน สุดท้ายคุณก็ใช้โดยไม่เหลือ ชีวิตไม่ได้ต่างกับคนอื่นมากเท่าไหร่ครับ
Comments
0 comments