Midlife-Crisis…วิกฤตวัยกลางคน ที่คุณสามารถแก้ไขมันได้
เรื่องที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้ ไม่เพียงแต่ว่าครอบคลุมเกี่ยวกับปัญหาเรื่องชีวิตของนักขาย แต่ยังครอบคลุมถึงปัญหาชีวิตของทุกอาชีพ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของอาการนี้คือ “ความล้มเหลวในชีวิต”
.
ส่วนตัวผมเองเป็นคนที่ชอบศึกษาชีวิตของผู้อื่นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะชีวิตของบุคคลที่ประสบความสำเร็จเพื่อเรียนรู้วิธีการของพวกเขาเหล่านั้น แล้วนำมันมาลงมือทำ ส่วนชีวิตของบุคคลที่ประสบปัญหา “Midlife-Crisis” ผมเคยคุยกับบุคคลเหล่านั้นมามากมายเพราะพวกเขานำเรื่องมาแชร์ให้ผมฟัง ผมนำสิ่งเหล่านั้นมาเรียนรู้และหาวิธีการป้องกันเพื่อไม่ให้ตนเองตกอยู่ในสภาวะนั้น ซึ่งคนที่เคยประสบมาแล้วบอกผมว่า “มันเป็นวิกฤตแห่งชีวิตที่เลวร้ายมาก” ผมจึงอยากเขียนเรื่องนี้ให้ทุกคนได้ตระหนักถึงกันครับ
.
Midlife-Crisis แปลตรงๆ ก็คือ “ปัญหาวิกฤตวัยกลางคน” ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตตั้งแต่อายุ 35-50 ปี อาการที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตนี้คือ การคิดหมกมุ่นเกี่ยวกับชีวิตของตนเองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการเปรียบเทียบชีวิตของตนเองกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตด้านครอบครัว ด้านการงาน ด้านการเงิน ด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน หรือว่าคนที่ยังคิดว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จก็มีโอกาสที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤตวัยกลางคนนี้ได้ แต่ส่วนใหญ่อาการนี้มักเกิดกับผู้ที่คิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จ (ที่มา: ดร.แพง ชินพงศ์) ตัวอย่างเช่น
.
-
หน้าที่การงานไม่ก้าวหน้า ยังทำงานระดับพนักงานทั่วไป ในขณะที่คนอื่นเป็นผู้จัดการ ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ
-
ครอบครัวแตกแยก ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ขาดการยอมรับซึ่งกันและกัน
-
มีปัญหาด้านการเงิน ยังไม่พอใจชีวิตของตัวเอง
-
ความเสื่อมถอยของสุขภาพและร่างกาย
-
การสูญเสียของคนใกล้ชิด
-
ตระหนักถึงเวลาชีวิตที่คิดไปเองว่าเหลืออยู่อีกไม่มาก
.
อาการที่กล่าวมา จะส่งผลไปสู่อาการ “ถดถอย” ในระยะยาว หนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อ Midlife-Crisis มากที่สุดสำหรับผมคือ “ความสำเร็จในหน้าที่การงาน” เพราะการทำงานเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นดัชนีชี้วัดในตัวคนคนหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของรายได้ สถานะทางสังคม การเงิน สวัสดิการ ที่เป็นส่วนหนึ่งของลำดับขั้นความต้องการในชีวิตตามกฎของมาสโลว์ (Maslow’s hierarchy of needs) ซึ่งขั้นสูงสุดคือความนับถือและความสมบูรณ์ของชีวิต
.
ในปัจจุบันเราตกอยู่ภายใต้สังคมโซเชี่ยลมีเดียอันเชี่ยวกราก มีกระแสการไหลบ่าของข้อมูล โดยเฉพาะคนใกล้ตัวที่ต้องการสร้างตัวตนให้เป็นที่ยอมรับอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น ไลฟ์สไตล์ที่น่าอิจฉา การท่องเที่ยวต่างประเทศ ครอบครัวที่อบอุ่น วัตถุราคาแพง ฯลฯ ซึ่งทำให้คุณเองเกิด “การเปรียบเทียบ” ความสำเร็จระหว่างคุณกับคนอื่น เมื่ออายุของคุณเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อคุณโดยตรงในการลดคุณค่าของตัวเอง เลวร้ายที่สุดคือการโทษตัวเองและผู้อื่น ยอมรับสภาพเหล่านั้นโดยไม่ลงมือทำอะไร
.
ถึงตรงนี้ ผมขอให้คุณเลือกเอาครับ ว่าคุณจะยอมตกอยู่ในสภาวะที่เลวร้ายนี้ ไม่ลงมือทำอะไร โทษตัวเองและสังคมรอบข้างไปวันๆ หรือลุกขึ้นมาสู้ หาวิธีป้องกันวิกฤตวัยกลางคนเหล่านั้น พัฒนาตัวเองจนเป็นคนที่สามารถแบ่งปันแนวคิด วิธีทำ ให้ตัวเองและผู้อื่นมีความสุขได้เมื่ออายุเพิ่มขึ้นครับ
วิธีการแก้ไขวิกฤตวัยกลางคนสำหรับเรื่องหน้าที่การงาน
1. ยอมรับตัวเองว่าตกอยู่ในสภาวะวิกฤตวัยกลางคนให้ได้ และลงมือแก้ไขทันที
.
ไม่มีอะไรที่ทำให้คุณก้าวหน้าไปกว่าการยอมรับสภาวะนั้น น้อมรับมัน เพื่อให้คุณเปิดใจเรียนรู้ว่าสิ่งที่คุณต้องลงมือแก้ไขนั้นคืออะไร เช่น การงานที่ไม่ก้าวหน้า คุณควรมองตัวเองให้ออกว่าเพราะอะไร ต้องเริ่มปรับปรุงแก้ไขทักษะส่วนไหนเพื่อให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้าคุณมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย จงพิจารณาเหตุผลที่คุณต้องตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนงานให้ครบถ้วน และเลือกว่าจะอยู่ต่อไปหรือตะเกียกตะกายหาที่ทำงานใหม่เพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้น
.
แก่นแท้ของการงานที่ไม่ก้าวหน้า คือการไม่รู้ว่าตัวเองมีสิ่งไหนที่เป็นจุดอ่อนและการโทษสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น บางทีการงานที่ไม่ดีอาจมาจากทัศนคติที่เป็นลบ การขาดวินัย ความไม่ละเอียดรอบคอบ การขาดความทะเยอทะยานและเป็นบุคคลที่ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ดำรงชีวิตอยู่กับการทะนงตัวหรือคิดไปเองว่าตัวเองเก่ง คนอื่นไม่ได้เรื่อง เป็นต้น ถ้าคุณพบว่ามีอาการเหล่านี้ จงรีบแก้ไขทันทีเลยนะครับ
.
2. กล้าที่จะเสี่ยงและนำพาตัวเองออกจากคอมฟอร์ท โซน (Comfort Zone)
.
สำหรับคนที่อายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป ช่วงอายุระดับนี้ หลายคนเริ่มได้รับโอกาสในการทำงานระดับผู้จัดการขึนไป (Middle Management Level) เช่น ผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผู้จัดการลูกค้า (Account Manager) หลายคนได้โอกาสจากที่ทำงานปัจจุบันเป็นผู้มอบให้ แต่หลายๆ คนได้รับโอกาสจากความกล้าเสี่ยงและนำพาตัวเองออกจากคอมฟอร์ท โซน ซึ่งเปรียบได้กับ “หลุมพราง” ที่ทำให้คุณไม่กล้าเสี่ยงยามที่ภาระมากขึ้น เช่นผ่อนบ้าน ผ่อนรถ มีครอบครัว ทำให้บางทีไม่กล้ารับโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างน่าเสียดาย
.
ผมขอพูดถึงการทำงานในองค์กรนานๆ ในตำแหน่งเดิมมากกว่า 5 ปีขึ้นไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือคุณอาจจะได้ขึ้นเงินเดือน ได้โบนัสหลายเท่าในทุกๆ ปี ผมไม่เถึยงว่าเป็นเรื่องดี แต่ความเสี่ยงและหลุมพรางที่เกิดขึ้นคือถ้าคุณยังจมอยู่กับตำแหน่งเดิมเป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับผู้จัดการ โอกาสในการก้าวหน้าของคุณก็จะริบหรี่ลงเรื่อยๆ เพราะการคัดเลือกผู้บริหารยังมี “คนนอก” ที่มีความสามารถเข้ามาสวมตำแหน่งนี้ได้ตลอดเวลา หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงานของคุณที่อาจจะถูกดันให้เป็น “หัวหน้า” แทนคุณ โอกาสของคุณก็แทบจะหมดลง
.
ในช่วงเวลานี้ ถ้าคุณทำงานได้ดีและมีโปรไฟล์อยู่ใน Linkedin.com คุณจะมีโอกาสจากรีครูเตอร์ (Recruiter) ที่ทำงานด้วยระบบออนไลน์เข้ามาหยิบยื่นโอกาสให้คุณอยู่ตลอดเวลา จงตัดสินใจ ทบทวนโอกาสที่ผ่านเข้ามาให้ดี เพราะการลองออกไปทำสิ่งใหม่ๆ เช่น ตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น บริษัทระดับสูงขึ้น เงินเดือนเพิ่มขึ้น นับว่าเป็นโอกาสดีๆ ที่ไม่ได้ผ่านมาบ่อยๆ ถ้าคุณมั่นใจว่ามีฝีมือในการทำงานและมีอีคิว (EQ) ที่ดี ใครๆ ก็อยากได้คุณมาทำงานครับ คุณจะได้รับทั้งเงิน ตำแหน่ง โอกาสแห่งความก้าวหน้ามากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าไม่สมหวัง คุณก็ยังมีโอกาสแก้ตัวครับ
3. จงบอกตัวเองเสมอว่าคุณคือนักธุรกิจ สามารถใช้ทักษะนี้ต่อยอดอนาคตได้
.
สำหรับนักขาย ผมจะย้ำเสมอว่าพวกคุณมีทักษะการเป็นเจ้าของกิจการ ทักษะการเป็นนักธุรกิจ ทักษะการขายที่คุณเรียนรู้และฝึกฝนตลอดการทำงานอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็น “ทักษะชีวิต” ของคุณในการต่อยอดสู่การเป็นเจ้าของกิจการ เจ้าของธุรกิจ เพราะเสาหลักที่ค้ำจุนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าได้คือยอดขายและผลกำไร จงเรียนรู้และมีวิสัยทัศน์อยู่เสมอว่างานที่คุณทำอยู่สามารถต่อยอดให้ตัวคุณทำธุรกิจเองได้ในอนาคตอย่างไรบ้าง เพราะสำหรับการขาย คุณสามารถทำธุรกิจโดยใช้ทุนไม่มากได้ เช่น การร่วมหุ้นกับเพื่อนโดยดูแลในส่วนของการขาย เป็นต้น
.
มีนักธุรกิจ Gen-X (อายุ 35-50) หลายท่านที่เป็นเจ้าของกิจการแบบ B2B ระดับร้อยล้านขึ้นไป (แอดมินเองก็เคยเป็นลูกน้องเจ้านาย Gen-X มาก่อน) ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศนี้ พวกเขาเองก็เคยผ่านงานการเป็นลูกจ้างมาก่อน และได้ใช้ทักษะที่มีอยู่ในการออกมาทำธุรกิจด้วยตนเองและประสบความสำเร็จ ไม่เชื่อลองเดินไปถามเจ้าของบริษัทคุณดูสิครับ
.
สำหรับคนที่ไม่ได้มองไปถึงการทำธุรกิจส่วนตัว ก็ไม่ผิดอะไรนะครับ เพราะการมีทักษะความเป็นนักธุรกิจ ถ้าคุณใช้กับงานประจำก็จะทำให้คุณทำงานได้ดีขึ้น เข้าใจธุรกิจและทฤษฏีผลประโยชน์มากขึ้น มีโอกาสใหม่ๆ เข้ามาอยู่เสมอ ที่ผมแนะนำแนวคิดนี้เป็นเพราะว่าคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอนาคตบริษัทที่คุณทำอยู่จะดีเหมือนเดิมไหม คุณอาจจะเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างเช่นการถูกไล่ออกทั้งแผนกเลยก็ได้ ดังนั้นการปูทาง วางแผนให้กับตัวเองจะเป็นสิ่งที่ลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้ครับ
.
4. กฎของธรรมชาติคือ ความไม่แน่นอน คือสิ่งที่แน่นอน
.
ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน ธุรกิจระดับโลกอย่างโนเกีย (Nokia) โกดัก (Kodak) แบล๊คเบอร์รี่ (BlackBerry) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าขนาดบริษัทระดับโลก มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งยังสามารถล้มละลายภายในระยะเวลาไม่กี่สิบปี ไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้า บริษัท ตำแหน่ง หน้าที่การงานของคุณเองก็เช่นกัน บางทีคุณอาจจะเจอฟ้าผ่าเปรี้ยง ถูกไล่ออก ถูกยุบแผนก บริษัทล้มละลาย
.
คุณต้องเตรียมตัว เตรียมใจเสมอว่า “ในโลกนี้ ไม่มีอะไรแน่นอน” การเปลี่ยนแปลงสามารถผ่านเข้ามาในชีวิตได้ตลอดเวลา คุณต้องน้อมรับความเปลี่ยนแปลงนี้ให้ได้ หรือควรคิดเสมอว่าถ้าเกิดวิกฤตแห่งชีวิตเข้ามา คุณจะเรียนรู้และยอมรับมันอย่างไร สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณผ่านวิกฤตวัยกลางคนนี้ได้ง่ายขึ้นครับ
.
5. ค้นหาที่ปรึกษาชีวิตในเรื่องที่สำคัญ
.
คุณควรค้นหาบุคคลต้นแบบที่สามารถให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาชีวิตแก่คุณได้ เพราะบางทีตัวคุณเองอาจจะไม่รู้ตัวว่าจะต้องแก้ไขอะไร ต้องพัฒนาตัวเองในเรื่องใด คนที่คุณควรค้นหาและให้เขาเป็นที่ปรึกษาควรเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มีความเห็นอกเห็นใจและรับฟังปัญหาของคุณอย่างตั้งใจ คำแนะนำจากบุคคลที่มีคุณค่าจะทำให้คุณมีทางลัดในการปฎิบัติตัวได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น เพราะส่วนใหญ่บุคคลเหล่านั้นมักจะเป็นผู้ที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ บางทีคุณอาจจะได้รับโอกาสดีๆ เช่น งานใหม่ ธุรกิจใหม่ เพื่อให้คุณหลุดออกจากวงจรนั้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ได้รายได้และความสบายใจเพิ่มขึ้น
.
6. ออกกำลังกายให้เพียงพอและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
.
พลังทางกาย มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพลังทางใจ ถ้าคุณมีสุขภาพที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง สิ่งเหล่านี้จะบั่นทอนการทำงานและการแก้ไขปัญหาชีวิตของคุณ การทำให้ตัวเองมีสุขภาพที่ดีสามารถลงมือทำได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เงินซักบาท เพียงแต่คุณแค่แบ่งเวลา หาเพลงดีๆ ฟังระหว่างออกกำลังกาย คุณจะได้รับสุขภาพที่ดีขึ้น มีจิตใจที่ไม่หมกหมุ่นอยู่กับปัญหาชีวิต รู้จักปล่อยวางและได้พูดคุยกับตัวเอง เมื่อคุณมีพลังกายที่แข็งแรงแล้ว เวลาคุณคิดที่จะทำอะไร จะทำให้คุณมีพลังงานและลงมือทำได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและไม่ย่อท้อ
บทความนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากจะแชร์ให้กับทุกคน ต่อให้คุณเป็นคนรุ่นใหม่ Gen-Y, Gen-Z คุณก็ควรเรียนรู้วิกฤตนี้เอาไว้ เพื่อให้คุณทำความเข้าใจกับผู้ใหญ่วัยกลางคนบางคนที่มีปัญหาชีวิต บางทีอาจจะแสดงออกในรูปแบบของความเครียดจนกระทบชีวิตของคุณ ก็ขอให้เห็นอกเห็นใจและเข้าใจชีวิตของแต่ละคนนะครับ พร้อมกับเรียนรู้และวางแผนชีวิตของตัวเองให้ดีๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตนี้ซึ่งขอบอกเลยว่ามันไม่สนุกเลย…
Comments
0 comments