วิธีทำงานกับคนต่างวัยถ้าสำหรับคนรุ่นใหม่
Generation Gap หรือความแตกต่างระหว่างวัย ถือว่าเป็นสิ่งที่คุณต้องเผชิญในโลกของการทำงาน แม้แต่ผมเองก็ถือว่า “เปลียนผ่าน” จากระดับลูกน้องที่มีลูกพี่เป็นคนอายุ 30-50 ตอนผมทำงานใหม่ จนกลายเป็นหัวหน้าที่มีลูกน้องเป็นเด็กเอ๊าะๆ จบใหม่และผมก็กลายเป็นลุงรุ่นพี่ทั้งๆ ที่อายุแค่ 30 กว่าๆ ไปซะแล้ว (ฮา)
แน่นอนว่าอคติจากความแตกต่างระหว่างวัยมักเกินขึ้นเป็นประจำในสังคมการทำงาน คนรุ่นเก่าก็มักจะมีคำพูดติดปากว่า “เด็กสมัยนี้…” เวลาเห็นเด็กทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ส่วนคนรุ่นใหม่ก็มักจะพูดว่า “คนรุ่นเก่าไม่เห็นได้เรื่อง…” เวลาที่คนรุ่นเก่าทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเช่นกัน (ฮา)
ผมเองในฐานะ “คน Gen-Y” ที่อยู่ระหว่างโลกของคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ขอแชร์วิธีการดีๆ ในการทำงานให้เป็นไปได้อย่างราบรื่นและไม่ทำอะไรที่เคยพลาดเหมือนผมนะครับ
1. สัมมาคาราวะต้องมาก่อน
ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ให้ความเคารพนับถือรุ่นพี่อย่างเต็มใจแล้วล่ะครับ ผมบอกเลยว่าทุกวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ฝรั่ง เอเชีย ไทย ย่อมชอบคนที่ให้ความนับถือรุ่นพี่อยู่แล้ว การพูดจาที่ลงท้ายด้วย ครับ ค่ะ ทุกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม และความ “มือไม้อ่อน” ยกมือไหว้ด้วยความเคารพตั้งแต่ยามยันผู้บริหารย่อมทำให้คุณได้รับความประทับใจแรกพบ (First Impression) และยังน่ารักน่าเอ็นดู คุณควรเป็นผู้แสดงกิริยามารยาทและสัมมนาคาระวะก่อนเสมอ รับรองว่าไม่ว่าคุณจะเจอรุ่นพี่ที่นิสัยแย่แค่ไหนก็พร้อมจะช่วยเหลือคุณ
2. “ใช่ครับพี่ ดีครับนาย ได้ครับผม”
ประโยคอมตะสำหรับเด็กจบใหม่และคนรุ่นใหม่เลยล่ะครับ อย่าทำตัวหยิ่งผยองเป็นอันขาดสำหรับเด็กจบใหม่ที่โปรไฟล์ดีและมีความมั่นใจสูง จำไว้ว่าการเข้าทำงานในองค์กรเป็นอะไรที่ “ถิ่นใครที่มัน” การปรับตัวที่ดีถือว่าสำคัญที่สุด เว้นเสียแต่ว่าองค์กรนั้นมันห่วยเกินจะรับได้ คุณค่อยออกไปสมัครงานที่ที่ดีกว่าก็ได้ครับสำหรับคนที่กล้าพอ องค์กรที่ยอดเยี่ยมมักมีคนที่เจ๋งและมีประสบการณ์สูงกว่าคุณอยู่เสมอ จงเรียนรู้สิ่งที่รุ่นพี่พร่ำสอนโดยเฉพาะวิธีการทำงานที่ถูกต้อง อย่ามัวแต่สงสัยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเพราะมันเสียเวลา อย่าลืมว่าคุณเป็นเด็กมาใหม่ ทำอะไรย่อมไม่ผิดและไม่มีความเสี่ยงจนโดนไล่ออกแน่นอนถ้าทำตามที่พวกเขาบอกทั้งหมด
3. หาลูกพี่ตัวท็อปให้เจอและเลียนแบบการทำงานของพวกเขาให้ได้
เป็นวิธีที่ทำให้คุณเก่งเร็วแบบสุดๆ แถมยังถูกใจบรรดามือโปรของบริษัทได้ด้วย นั่นก็คือการสังเกตให้เร็วว่าใครในบริษัทที่มีฝีมือที่โดดเด่น ดูง่ายๆ เช่น ฝ่ายขาย ก็มักจะเป็นเซลล์ตัวท็อป ฝ่ายการตลาดก็คือคนที่เป็นตัวหลักอยู่บ่อยๆ ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็เอาเจ้าของบริษัทเลยครับ เป็นต้น สังเกตและลงมือทำตามไม่ว่าจะเป็นวิธีการทำงาน อุปนิสัย ความนิ่ง ความทุ่มเทในเนื้องาน การบริหารเวลา ฯลฯ จงจำไว้ว่ายิ่งมีคนเก่งให้ทำตาม คุณก็ยิ่งเก่งขึ้นได้เร็วและถูกต้องมากขึ้น วิธีนี้จะยอดเยี่ยมมากๆ ถ้าคุณอยู่ในองค์กรที่มีคนเทพๆ ให้คุณได้เลียนแบบครับ
4. ระวังเรื่องการนินทาหรืออยู่กับคนที่มีทัศนคติลบๆ
เป็นธรรมดาที่คุณต้องการเพื่อนรุ่นเดียวกันในที่ทำงาน แต่จงระวังเพื่อนที่ทำงานห่วยกับมีทัศนคติลบๆ จนเป็นพิษ (Toxic Person) เพราะคนเหล่านั้นมักจะทำพ่นพิษด้วยการก่นด่าหรือบ่นแต่เรื่องลบๆ ในบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการนินทาเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เบื่องาน ฯลฯ คุณอาจจะกลายเป็นหมาหัวเน่าได้เมื่อขาดวิจารณญาณจนกลายเป็นโดนล้างสมองและอาจพลั้งเผลอพูดอะไรแย่ๆ เข้าหูคนที่คุณนินทาได้ และมันจะแย่กว่านั้นถ้าคนที่คุณนินทาเป็นรุ่นพี่ที่หวังดีและไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับคุณ คุณก็จะถูกเหมารวมว่าเป็นคนห่วยและไปไม่รอดในที่สุด
5. ระวังการใช้โซเชี่ยลมีเดียสูงสุด
ระวังสุดๆ โดยเฉพาะการบ่นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องคนที่คุณไม่ชอบขี้หน้าในที่ทำงาน การนินทา ทัศนคติลบๆ ในโซเชี่ยลมีเดียในเฟซบุ้ค ไอจี ทวิตเตอร์ ฯลฯ อย่างลืมนะครับว่าลูกพี่คุณใช้โซเชี่ยลมีเดียเป็นทั้งหมด อย่าโพสต์อะไรที่มันงี่เง่าไร้สาระและไม่รู้กาละเทศะ ไม่จำเป็นต้องสร้างเฟซบุ้คหลายบัญชีเพราะกลัวเจ้านายมาเป็นเพื่อน สิ่งที่ควรระวังคือการกินเที่ยวที่กระทบกับการทำงาน เช่น วันนี้กินเหล้าแต่วันพรุ่งนี้ตื่นสายมาทำงานไม่ได้ เป็นต้น ไม่พอใจอะไรก็โทรไปด่ากับ พ่อแม่ เพื่อนซี้คนละบริษัท แฟน แค่นั้นพอครับ จงระวังเรื่องนี้เพราะแตกหักกันมาเยอะ
Comments
0 comments