วิธีการเลือกซื้อรถคันแรกสำหรับนักขายมือใหม่

หลายคนอาจจะงงว่าบทความของเซลล์ร้อยล้านที่มักจะพูดถึงแต่เรื่องของการขายแบบองค์กรเพียงอย่างดาว แต่ทำไมวันนี้ถึงเขียนหัวข้อที่เกี่ยวกับรถยนต์ขึ้นมาได้ (ฮา)

ผมขอออกตัวเลยนะครับว่าตนเองไม่ได้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับข้อมูลทางด้านเทคนิคของรถยนต์มากนัก แต่ผมเองในฐานะเซลล์คนหนึ่งซึ่งเคยผ่านการเลือกซื้อรถเพื่อเอาไว้ใช้ขายของมาก่อน ผมจึงมี “มุมมอง” เกี่ยวกับการเลือกซื้อรถที่ช่วยให้คุณหาเงินได้อย่างคุ้มค่า

ซึ่งเรื่องนี้คุณจะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาดในฐานะบุคคลที่อยู่ใน “โลกแห่งการขาย” เพราะรถยนต์ของคุณนั้นเป็นได้ทั้ง “สวรรค์” หรือ “นรก” ให้กับชีวิตการขายของคุณเลยล่ะครับ พูดได้ว่ามันคือสิ่งที่เป็น “เครื่องมือทำมาหากิน” ของคุณอย่างแท้จริง โดยเฉพาะนักขายที่ต้องออกตลาดไปพบลูกค้านอกสถานที่บ่อยๆ

“สวรรค์” ในความหมายที่มอบให้กับนักขายเช่นคุณคือมันสามารถพาคุณไปพบลูกค้าที่ไหนก็ได้ สมรรถนะไว้ใจได้ สมบุกสมบัน ทนทาน ค่าซ่อมบำรุงที่ถูก ประหยัดน้ำมัน ศูนย์บริการไว้ใจได้ทั่วไทย ไม่ปวดหัว ที่สำคัญคือ “ราคาขายต่อ” ที่ทำให้คุณรู้สึกราวกับซื้อรถมาเพื่อ “เช่าขับ” และเอาไปเป็นต้นทุนดาวน์รถใหม่ได้แบบสบายกระเป๋ามากขึ้น มันจะช่วยคุณล่าเงินได้แบบไม่ปริปากบ่น

“นรก” ในความหมายที่มอบให้กับนักขายเช่นคุณคือรถที่มีปัญหาจุกจิกอยู่บ่อยๆ ใช้เวลาซ่อมค่อนข้างนาน ศูนย์บริการค่อนข้างน้อย สมรรถนะและความปลอดภัยที่ไว้ใจไม่ได้ เสียง่าย ฯลฯ เพียงแค่เรื่องเหล่านี้ก็ทำให้คุณ “เสียโอกาส” ในการขายไปเยอะมากๆ ชีวิตลำบาก ออกตลาดไม่ได้ แถมยังต้องจ่ายเงินค่าซ่อมบำรุงในราคาแพงอีกด้วย ที่สำคัญคือ “ราคาขายต่อ” ที่ไม่น่าประทับใจ เมื่อคิดจะซื้อรถใหม่ก็ต้องเอา “ค่าคอม” ที่ได้มาอัดเพิ่มเสียอีก กลายเป็นรถยนต์ “ถ่วงชีวิต” ที่ทำให้คุณปวดหัวและรู้สึกไม่น่าอภิรมย์นัก

ผมจึงขอแชร์แนวคิดดีๆ ที่ทำให้คุณตัดสินใจเลือกสิ่งที่ฉลาดและคุ้ม ถือว่าเป็นอีกบททดสอบของการเป็นนักขายเลยก็ว่าได้ ถ้าคุณเป็นลูกค้าซะเอง คุณจะใช้ปัจจัยอะไรบ้างในการเลือกซื้อ หรือว่าจะตกเป็นเหยื่อการตลาด ทาสโปรโมชั่นแบบง่ายๆ ลองคิดตามผมนะครับ

1. จุดประสงค์ของการเลือกซื้อรถคันแรกเพื่อทำงานเซลล์

เรื่องรสนิยม เป็นเรื่องที่ห้ามหรือขัดใจกันไม่ได้ ซึ่งผมไม่เถียงนะครับว่ารถที่คุณชอบ ขับแล้วมีความสุข ย่อมเป็นเรื่องที่ดีและควรสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง บางที “รถตลาด” ขายดี ที่คุณคิดไปเองว่า “หน้าตางั้นๆ” “ออปชั่นไม่ได้เรื่อง” “ขับแล้วโหล ไม่อินดี้” ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกจริตกับรสนิยมของคุณซักเท่าไหร่ แต่อย่าลืมนะครับว่าคุณกำลังเลือกซื้อมันเพื่อเอาไว้ใช้ทำงาน หาเงิน จึงขอให้พิจารณาถึง “เหตุผล” เหนือ “อารมณ์” ในฐานะนักขายที่กำลังก้าวไปเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วย 

2. เหตุผลหลักในการเลือกซื้อรถยนต์เพื่อใช้ทำงานเซลล์

รถยนต์ที่เหมาะกับนักขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ต้องออกตลาดไปพบลูกค้าอยู่บ่อยๆ ควรพิจารณาถึงรถยนต์ที่มีสมรรถนะที่ไว้ใจได้ เผื่อยามฉุกเฉินที่คุณต้องรีบแซงรถพ่วง 18 ล้อ (จะได้ไม่ต้องลุ้นจนเยี่ยวเหนียว ฮา) เวลาออกต่างจังหวัด มีความปลอดภัยระดับมาตรฐาน เช่นมี ถุงลมนิรภัย (Airbag) ระบบเบรก ABS ระบบช่วยและกระจายแรงเบรก ฯลฯ มีศูนย์ซ่อมที่ไว้ใจได้อยู่ทั่วประเทศ มีค่าซ่อมบำรุงรักษาที่ถูก ประหยัดน้ำมัน อะไหล่หาง่าย ซ่อมง่าย มีระบบไฟฟ้าที่ไม่เยอะและจุกจิกจนเกินไป นอกจากนี้ควรมี “ราคาขายต่อ” ที่ดี เพื่อเอาไปเป็นต้นทุนดาวน์รถใหม่ได้แบบสบายกระเป๋า

3. “รถตลาด” เป็นทางเลือกที่ควรซื้อไว้ใช้ทำงานขายมากที่สุด

ลองพิจารณารถยนต์ในท้องตลาดดีๆ ใช้มุมมองในฐานะนักขายว่าพวกเขาก็ต้องทำธุรกิจ เงินต้องกินต้องใช้ ขายของก็ต้องมีกำไรและมีส่วนแบ่งตลาดในสงครามรถยนต์อันดุเดือด คุณจะสังเกตได้ง่ายๆ ว่า “รถตลาด” ของบรรดาเจ้าตลาด จะมีราคาสูงกว่าแบรนด์ใหม่ๆ แถมออปชั่นก็ยังด้อยกว่า แต่สิ่งที่พวกเขาลงทุนไปก็คือศูนย์บริการและการผลิตอะไหล่ด้วยราคาที่ถูกเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น พวกเขาจึงมีจุดแข็งในเรื่องของความน่าเชื่อถือ แต่แบรนด์ใหม่ๆ มักจะจัดหนักด้วยออปชั่น ซึ่งบางอันก็แทบจะไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ มีส่วนลด มีข้อเสนออันเย้ายวนใจ จนทำให้คุณเปิดใจพิจารณาแบรนด์ใหม่ และมองข้ามเรื่องเหตุผลอย่างอื่นที่ซ่อนอยู่จนหมดสิ้น 

4. “รถที่ไม่ใช่เจ้าตลาด” เป็นสิ่งที่คุณต้องคิดว่าพวกเขาจะเอาอะไรมาสู้กับเจ้าตลาด

จงจำไว้เสมอว่าอะไรที่มาใหม่และยังไม่มีคู่แข่งเหนือเจ้าตลาดอย่างเห็นได้ชัด ในการขายก็ต้องหาอะไรมาสู้กับเจ้าตลาด ซึ่งคิดอะไรไม่ออกก็หนีไม่พ้นการลดราคา หรืออัดข้อเสนอบางอย่างเพื่อให้รถยนต์นั้นขายได้ แต่ด้วยความที่ยังสดใหม่ ทำตลาดได้ไม่นาน ยอดขายงั้นๆ กำไรจึงน้อยตาม ทำให้การลงทุนด้านงานบริการ เช่น งานบำรุงรักษา งานบริการหลังการขาย ศูนย์บริการ ฯลฯ ยังทำได้ไม่ดี คุณเห็นด้วยมั้ยครับว่าเวลาขายอะไรไปแล้วก็ตาม “ก่อนขายว่ายากแล้ว แต่หลังขายนั้นยากกว่า” เพราะคุณต้องแก้ปัญหาจากสิ่งที่ขายไปแล้วนี่แหละครับ ถ้าแก้ได้ไม่ดีก็อาจส่งผลให้บริษัทคุณเจ๊ง ในระยะยาวได้เลย

5. ตรวจสอบงบประมาณในกระเป๋า

ถ้าคุณบ้านรวยอยู่แล้ว มีบุพการีซื้อรถให้ ไม่เกี่ยงว่าจะมีปัญหาอะไรก็ช่าง ขอให้คุณข้ามข้อนี้ไปเลยนะครับ แต่สำหรับนักขายมือใหม่ที่พึ่งได้รับเงินเดือนนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะบางทีค่าใช้จ่ายเรื่องการผ่อนรถอาจกินเงินเดือนคุณมากกว่า 30-50% ของรายได้ ซึ่งถือว่าเสี่ยงมากและจะทำให้คุณหมุนเงินแบบเดือนชนเดือนเป็นระวิง เดือนไหนรถยนต์วิ่งครบ 10,000 โล ถ้าบริษัทไม่ออกเงินในส่วนนี้ให้ก็เตรียมตัว “งานเข้า” ได้เลย และจงอย่าชะล่าใจว่าบริษัทออกค่าน้ำมันให้ จึงเลือกซื้อรถแรงๆ ซีซี สูง ขับยังไงก็ได้ เพราะถ้าเดือนไหนคุณวิ่งเยอะและรถก็ซดน้ำมัน เมื่อนั้นก็เตรียมตัว “ควักเนื้อ” ได้เลย ถือว่าคุณขาดทุนจากการทำงานอย่างแรง

รถยนต์ที่ควรซื้อเป็นคันแรกสำหรับเด็กจบใหม่ที่ทำงานมาไม่กี่ปี เงินเดือนอยู่ในระดับมาตรฐาน ประมาณ 20,000-40,000 บาท ควรเลือกซื้อรถยนต์ที่มีราคาประมาณไม่เกิน 600,000 บาท ถ้าคุณเป็นพนักงานขายที่วิ่งในกรุงเทพเป็นหลัก การเลือกซื้อรถยนต์อีโค่คาร์ จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะค่าตัวถูก ประหยัด จอดรถตามบริษัทของลูกค้าได้ง่าย แต่ถ้าเป็นเซลล์ต่างจังหวัดที่วิ่งระยะทางหลักร้อยกิโลขึ้นไป การเลือกซื้อรถยนต์ตั้งแต่ประเภท B-Segment ขึ้นไป ก็จะตอบโจทย์ได้มากกว่าในแง่ของสมรรถนะที่มีเครื่องยนต์ที่แรงกว่า ทำให้ขับสบายและปลอดภัยยามถึงช่วงเวลาคับขันมากขึ้น

แนะนำรถยนต์น่าใช้สำหรับนักขาย (ไม่ใช่การโฆษณา ฮา)

  • รถยนต์แนะนำสำหรับเซลล์มือใหม่ (First Jobber): Toyota Yaris Ativ, Honda City, Toyota Vios, Isuzu DMax

  • รถยนต์แนะนำสำหรับเซลล์ที่อายุประมาณ 30 ขึ้นไป เงินเดือนและค่าคอมพอใช้ได้ (Entry and Middle Level): Toyota Corolla Altis, Honda Civic, Honda HR-V

  • รถยนต์แนะนำสำหรับผู้บริหารฝ่ายขาย (Manager and Director): Toyota Camry, Honda Accord, Toyota Fortuner, Isuzu Mu-X, Honda CR-V, Mercedes-Benz C-Class, BMW Series 3

  • รถยนต์แนะนำสำหรับผู้บริหารระดับสูงและเจ้าของกิจการ (Executive and CEO): Mercedes-Benz E and S-Class, BMW Series 5 and 7

ผมไม่ได้ตังค์จากค่ายรถที่กล่าวมาแต่อย่างใดนะครับ (ฮา) ทุกอย่างเขียนขึ้นจากประสบการณ์และมุมมองของนักขายที่ถ้าเป็นฝ่ายต้องเลือกซื้อในฐานะลูกค้าซะเอง การพิจารณาให้ถี่ถ้วน ไม่เอาอารมณ์มาเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียวทำให้ผมได้เงินเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายน้อยลง ในฐานะนักธุรกิจเองก็ถือว่าคุณทำกำไรให้กับตัวเองได้มากนั่นเองครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น