สุดยอดนักขาย Gen-Y

จั่วหัวขึ้นมาแบบนี้ วันนี้ต้องมีอะไรที่เกี่ยวกับ Gen-Y ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 25-35 ปี เรียกได้ว่าเป็นวัยผู้ใหญ่เต็มตัว มีความฝัน และลงมือสร้างธุรกิจระดับโลกได้
.
ตัวอย่างเช่นพี่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) แห่ง Facebook ที่เราใช้ หรือเจ้าของสตาร์ทอัพในไทย เช่น Wongnai, Ookbee เป็นต้น
.
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของเพื่อนผู้เขียนเอง ซึ่งเวลาที่ผ่านมาผมได้ร่วมกันทำธุรกิจกับหนึ่งในสุดยอดนักขาย Gen-Y และเป็นหนึ่งในผู้ที่เปลี่ยนชีวิตกับทัศนคติของผมไปเลย เรื่องราวของคนธรรมดาทีไม่ธรรมดา บ้านไม่รวย นามสกุลไม่ดัง ไม่ได้เป็นลูกหลายเศรษฐีแต่สร้างธุรกิจ ลงมือขายด้วยตนเอง
.
สุดยอดนักขายคนนี้ชื่อ คุณไฟต์ “ชิตพล มั่งพร้อม” CEO บริษัทฯ IBG ซึ่งเป็นระบบ Social Listening ที่ช่วยธุรกิจของบริษัทระดับชาติในด้านข้อมูลดิจิทัลทางการตลาด (Big Data) ในชื่อแสนรู้ ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทยที่กำลังก้าวสู้ระดับโลก มีมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทและดำเนินงานไปแล้วในภูมิภาคเอเชียมากกว่า 7 ประเทศโดยเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ 0 มีหุ้นส่วนแค่ 2 คน จนบัดนี้มีพนักงานทั้งไทยและเทศมากกว่า 100 ชีวิตภายใน 3 ปี (ข้อมูลบริษัท:https://www.zanroo.com/)
.
ส่วนตัวผมเองตั้งแต่เคยเป็นลูกจ้างบริษัทไอทีมาก่อน ผมไม่เคยพบลูกค้าระดับ CEO เลยแม้แต่ครั้งเดียว เต็มที่ก็คือระดับ CIO เมื่อผมมาพบกับเขาคนนี้ ทำให้โลกของการขายของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ผมเชื่อว่า Gen-Y รุ่นพวกเรานี่แหละ สามารถขายสินค้า ทำธุรกิจร่วมกับตำนานนักธุรกิจเช่นคุณธนินทร์ เจียรวนนท์ แห่ง CP หรือคุณสันติ ภิรมย์ภักดีแห่งเบียร์สิงห์ได้ครับ
.
เกริ่นกันมายาวเลย ผมจึงขอแชร์เทคนิคของสุดยอดนักขาย Gen-Y อายุเพียงแค่ 30 ผู้นี้ ที่เริ่มจากการเป็นนักขายแบบในหนังต๊อบ เถ้าแก่น้อยเลย (วัยรุ่นพันล้าน) ผ่านร้อนผ่านหนาวจากการเจรจาธุรกิจกับนักธุรกิจระดับประเทศมากมาย เพื่อนๆ ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ ผมสรุปมาให้เพื่อนๆ ทุกคนเอาไปใช้ได้เลย

1) ทัศนคติในช่วงเริ่มต้นเป็นสิ่งที่สำคัญ
.
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทัศนคติที่ดี ยิ่งถ้าเราขายสินค้าที่ไม่เป็นที่รู้จักของตลาดมาก่อน เป็นสินค้าโนเนม ต้องไม่กลัวการถูกปฎิเสธเด็ดขาด การเริ่มต้นช่วงแรกๆ ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความน่าเชื่อถือ คุณต้องยืดอกพกความรู้สึกเสมอว่าเราไม่ได้เป็นแค่เซลล์ขายของ แต่สินค้าของเราเข้าไปช่วยให้ธุรกิจและชีวิตของเค้าดีขึ้น

.
2) วินัย วินัย วินัย 

.
การที่สินค้าของเราเป็นสินค้าโนเนม เป็นนวัตกรรมใหม่ ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีวิธีอะไรที่ดีไปกว่าการโทรทำนัดเข้าไปพบกับลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าต่อหน้า วิธีนี้เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าของคุณ คุณไฟต์แชร์ว่านักขายที่ดีคือโทรหาลูกค้าใหม่วันละ 20 สายเพื่อทำนัด แต่นักขายที่สุดยอดคือต้องโทรหาลูกค้าใหม่วันละ 40 สายอย่างต่ำ พยายามฝึกฝนให้เป็นวินัยทุกวันแล้วคุณจะได้ค่าเฉลี่ยการตอบรับนัดเพื่อนำเสนอสินค้ามากกว่าสัปดาห์ละ 20 นัดอย่างแน่นอน (คิดเป็น 10% จากการโทรทำนัดทั้งหมด 200 ครั้ง)

.
3) นำเสนอในลักษณะการเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจของลูกค้า

.
ก่อนเข้าไปพบลูกค้าควรทำการบ้านเกี่ยวกับธุรกิจเบื้องต้นของลูกค้าและประโยชน์ของสินค้าเราที่จะตอบโจทย์เค้าก่อนเสมอ การนำเสนอโดยเริ่มต้นถามคำถามเพื่อหาปัญหาของเค้าให้เจอ หรือหาโอกาสนำเสนอสิ่งที่สินค้าเราทำให้ชีวิตของเค้าดีขึ้น คุณจะถูกยกระดับจากแค่เซลล์ขายของมาเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจทันที ข่าวดีคือไม่ว่าคุณจะนำเสนอระดับ Manager ไปจนถึง CEO ทุกคนจะมองคุณเป็นที่ปรึกษาและมีโอกาสซื้อคุณทันที

.
4) เมื่อมีผู้ให้โอกาส จงวิ่งเข้าไปคว้ามัน
.

การทำงานของคุณไฟต์เป็นลักษณะ B2B (Business-to-Business) บางทีเราจะยังไม่ได้พบระดับ CEO ในทันที ต้องมีการนำเสนอจากระดับผู้ใช้งาน ผู้จัดการ ไปจนถึงผู้บริหารเป็นลำดับขั้น เมื่อคุณผ่านด่านทีละขั้น จงหาวิธีให้คนที่เป็นป๋าดันให้คุณ (influencer) พาคุณขึ้นไปเจอ MD หรือ CEO (decision maker) ให้ได้ เช่นการขอโอกาส การถามขั้นตอนการสั่งซื้อของลูกค้า เป็นต้น ถ้ามั่นใจว่าสินค้าคุณตอบโจทย์จริง อย่ามัวแต่รอ คุณต้องเป็นผู้เริ่มเขี่ยลูกก่อนเสมอ
.
5) Fake it until you make it
.

เป็นธรรมดาที่การนำเสนอบริการหรือสินค้าให้กับบุคคลระดับสูงจะทำให้เรารู็สึกเกร็ง ประหม่า นอบน้อมเกินเหตุเนื่องจากเราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน บรรยากาศในการพบ CEO นั้นเป็นคนละเรื่องกับคนอื่นที่คุณเจอมา เช่นห้องทำงานหรูหรา แปลกตา หรือห้องประชุมขนาดใหญ่เหมือนกับในหนัง

.

เรื่องนี้ให้คุณพยายามนึกถึงมาดนักธุรกิจที่เป็นไอดอล จงคิดเสมอว่าบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือและมีความเป็นมืออาชีพคือสิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างนักขายธรรมดากับนักขายขั้นเทพ CEO จะสังเกตคุณตั้งแต่การ เดิน นั่ง ท่าทาง สายตา การพูดจา ฯลฯ (ทุกอย่างที่เป็นคุณ) คุณต้องค่อยๆ ปรับบุคลิกให้เหมือนกับไอดอลคนนั้นของคุณ ทำซ้ำๆ ทุกวันที่มีโอกาส แล้วคุณจะกลายเป็นคนคนนั้นที่คุณอยากเป็น (Fake it until you make it)
.
6) วิชั่นสำคัญที่สุด
.

วิชั่นในที่นี้หมายถึงวิสัยทัศน์ เราควรมองการณ์ไกลเข้าไว้ ยิ่งถ้าบริษัทฯ ของเราสามารถเติบโตได้อีกก็ไม่ควรหลงอยู่กับความสำเร็จช่วงเริ่มต้น ถึงแม้คุณจะมีกำไรหลักล้าน สิบล้าน ร้อยล้าน คุณก็สามารถตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้นได้อีกเสมอ เมื่อเป้าของคุณใหญ่ กระบวนการความคิดเรื่องการขยายธุรกิจก็จะมาคู่กันด้วยเสมอ คุณควรนำเงินที่หามาได้มาวางแผนการลงทุนเพิ่มเติม เช่น ลงทุนกับพนักงานใหม่ เป็นต้น ส่วนมนุษย์เงินเดือนนักขายเมื่อได้เงินมาแล้วเราก็ควรบริหารเงินให้ดี เช่นการลงทุนในหุ้น อสังหาฯ ธุรกิจส่วนตัว เป็นต้น

ไม่มีโอกาสและความสำเร็จใดจะเกิดได้ถ้าไม่ลงมือทำ การลงมือขายอะไรบางอย่างพร้อมกับความเชื่อจะสร้างโอกาศและเปลี่ยนชีวิตให้กับคุณอย่างไม่คาดคิดเลยครับ ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆ มุมมองนอกจากงานขายที่สามารถพลักดัน Gen-Y กับ Gen-Z ที่เป็นวัยแห่งการสร้างเนื้อสร้างตัวและความฝันในการสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ และประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากๆ ครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น