คุณคือเซลล์หรือว่าหมาล่าเนื้อ?

เคยได้ยินคำพูดนี้ไหมครับ “เซลล์ก็เปรียบเสมือนหมาล่าเนื้อ”

นิยามของคำว่า “หมาล่าเนื้อ” ก็คือสุนัขที่ถูกเลี้ยงขึ้นมาเพื่อให้มันออกล่าสัตว์ช่วยเหลือเจ้านายที่ชื่อว่า “มนุษย์” มันจะทำหน้าที่ของมันตามคำสั่งเจ้านายอย่างดี ไม่มีคำว่า “ปฎิเสธ” ในสมองของมัน

เมื่อมันเจอวิกฤตอันตราย มันจะสู้จนตัวตาย หรือไม่ก็บาดเจ็บซมซาน สะบักสะบอม ทนพิษบาดแผลไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะหมดลมหายใจ

เปรียบได้กับ “เซลล์” ที่ถูกฝึกมาเพื่อให้ออกไปล่า “ยอดขาย” ช่วยเหลือเจ้านายที่ชื่อว่า “บริษัท” ซึ่งจะทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามคำสั่งของบริษัทอย่างดี ได้รางวัลนอกเหนือจากเงินเดือนคือ “ค่าคอมมิชชั่น”

เมื่อถึงช่วงวิกฤตของชีวิต เช่นอายุที่เพิ่มขึ้น สุขภาพและศักยภาพลดลง มีเซลล์รุ่นใหม่ทดแทนเข้ามา เริ่มปิดยอดไม่ได้ บริษัทฯ มีตัวเลขถดถอย มีปัญหากับเจ้านายใหม่ เป็นต้น สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือ “โดนไล่ เชิญออกหรือลาออกเอง”

มันเลยกลายเป็นคำนิยามคลาสสิกของคนรุ่นเก่าที่มักจะพูดเสมอว่าเซลล์ก็เปรียบเสมือนหมาล่าเนื้อ คือทำเงินได้เยอะจริง ทำงานหนัก ทุ่มเทเพื่อเงินและอนาคตแบบสุดๆ แต่พอแก่ตัวไปก็เปรียบเสมือนหมาแก่ที่ออกล่าเนื้อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

เพราะพวกเขาดันลืมวางแผนชีวิตในการเอาเงินที่ได้มาสร้างธุรกิจ หรือแม้แต่ลงทุนเพื่ออนาคตหลังเกษียณ ทั้งๆ ที่พวกเขาลืมไปและไม่รู้ตัวว่ามีสกิล “เจ้าของธุรกิจ (Entrepreneur)” อยู่ในตัว เพราะขายของเป็นนี่แหละ

มันช่างน่าเสียดายจริงๆ เพราะผมเห็นนักขายรุ่นเก่า ตกอยู่ในสภาวะ Midlife-Crisis (วิกฤตวัยกลางคน) กันเยอะมากๆ…ตามกระทู้ Pantip ของชีวิตคนอื่น

…ฟังคำถามของผมให้ดีๆ นะครับ…

คุณต้องการให้คำคำนี้มันเป็นอนาคตของคุณมั้ยครับ? ถ้าไม่ จงฟังผมดีๆ

จงอย่าลดคุณค่าของตัวคุณด้วยคำว่า “หมาล่าเนื้อ” เป็นอันขาด

จงเพิ่มคุณค่าของตัวเองว่าด้วยคำว่า “ทูต” หรือ “นักธุรกิจ”

จงอย่าทำงานเป็นนักขายเพียงแค่เงินเดือนและค่าคอมฯ ที่เพิ่มขึ้นไปวันๆ แต่จงใช้ชีวิตเยี่ยงนักธุรกิจที่ใช้ทักษะการขายและประสบการณ์ในการทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

ที่สุดของนักขายก็คือการนำทักษะจากการขายที่ได้มาใช้ทำธุรกิจด้วยตนเอง ผมอยากให้คุณได้ลิ้มรสความรู้สึกนั้นบ้างครับ เพราะมันช่างหอมหวานจริงๆ

…มาฟัง “วิธีการ” จากผมได้เลยครับ

1) คิดให้ยาวว่างานของคุณจะทำให้คุณทำธุรกิจอะไรได้บ้าง

คุณเป็นนักขายสินค้าของเจ้านายอยู่แล้ว สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือจงคิดและมองธุรกิจของเจ้านายคุณให้ออกว่าสิ่งที่คุณได้มาจากธุรกิจนี้มีอะไรบ้าง เช่น กลุ่มเป้าหมาย คู่แข่ง ลูกค้า คอนเน็กชั่น พาร์ทเนอร์ มูลค่าตลาด แน้วโน้มการเติบโต ถดถอย ประโยชน์ของสินค้า ระบบการขาย ฯลฯ สิ่งที่คุณเรียนรู้จากงานที่คุณทำ ณ ปัจจุบัน สามารถทำให้คุณต่อยอดในการทำธุรกิจอะไรได้บ้าง 

2) ข่าวดีคือสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายๆ ด้วยการจับเสือมือเปล่า

จริงๆ แล้วการที่คุณเป็นนักขายให้กับบริษัทฯ ของคุณ มองอีกมุมนึงก็คล้ายๆ กับการ “จับเสือมือเปล่า” นะ นั่นเป็นเพราะคุณมาแต่ตัวกับรถคุณอีกหนึ่งคัน นายคุณมีสินค้ามาให้คุณขายทันที ลงทุนให้คุณทุกอย่าง การตลาดก็ทำให้ เทรนงานให้ เงินเดือนก็ให้ ค่าน้้ำมันก็ให้ แถมยังมีค่าคอมฯ ให้อีก ถามจริงๆ ว่าคุณมีอะไรจะเสียบ้างครับ? แถมคุณได้เรียนรู้ทักษะเหล่านี้จากการทำงานประจำทุกวันอีกด้วย

3) การขายเป็นเสาหลักในการค้ำจุ้นธุรกิจใหม่ของคุณ

ในการทำงานแบบองค์กร ทุกหน่วยงานมีความสำคัญ แต่คงปฎิเสธไม่ได้ว่า “งานขาย” คือเสาหลักที่สำคัญที่สุดในการค้ำจุนธุรกิจ ถ้าไม่มียอดขาย ขายไม่ได้ ก็จะขาดเงินหล่อเลี้ยงธุรกิจ หน่วยงานอื่นๆ ก็จะอยู่ไม่ได้จนบริษัทฯ ต้องเจ๊งไปในที่สุด

4) นักธุรกิจชื่อดังล้วนผ่านการเป็น “เซลล์แมน” มาก่อน

ถ้าคุณยังไม่เชื่อว่าตัวคุณจะทำได้มั้ย ผมรบกวนให้คุณลองอ่านประวัติสุดยอดนักธุรกิจของไทย เอาแบบที่เสื่อผืนหมอนใบมาก่อน บ้านไม่รวย นามสกุลไม่ดังจะดีมาก คุณจะได้เรียนรู้เลยว่าชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นกว่าจะประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ล้วนผ่าน “อาชีพนักขาย” มาก่อนทั้งนั้น เช่น คุณตัน อิชิตัน เจ้าสัวเจริญ (เบียร์ช้าง) เจ้าของตลาดนัดรถไฟ เจ้าของบริษัท J.I.B นักธุรกิจในรายการอายุน้อยร้อยร้าน หลายๆ ท่าน เป็นต้น

ยืนยันคำเดิมครับว่าคุณมีความเป็นนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการอยู่ในตัว อยู่ที่พวกคุณนั่นแหละที่จะ “เปิด” ความสามารถตรงนี้ของคุณออกมาได้เมื่อไหร่

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น