7 'รู้อะไรไม่สู้รู้งี้' สำหรับชีวิตของนักขาย

รู้อะไร ไม่สู้ “รู้งี้” เป็นสำนวนที่บ่งบอกถึงความหมายในตัวมันเองได้อย่างลงตัว ส่วนใหญ่มักเกิดจากการคิดจะตัดสินใจลงมือทำหรือตั้งใจจะทำอะไรซักอย่าง “แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำ” พอระยะเวลาผ่านไปแล้วเห็นโอกาสที่เคยคิดจะทำกลายเป็นจริง หรือหลุดลอยไปต่อนหน้า คุณก็จะอุทานว่า “รู้งี้กูลงมือทำตั้งนานแล้ว”

ซึ่งถือว่าเป็นข้ออ้างยอดฮิตของคนที่เอาแต่คิดแล้วก็ไม่ลงมือทำ คำพูดที่บอกว่ารู้งี้ จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ตอกย้ำ “ความล้มเหลว” ของคุณนั่นแหละครับ โทษใครไม่ได้เนอะ ถ้าโทษก็ต้องโทษโชคชะตา โทษฟ้าโทษดิน ไปวันๆ

ชีวิตนักขายเองก็เหมือนกัน ผมเชื่อว่าทุกคนล้วนมีประสบการณ์ “รู้อะไรไม่สู้รู้งี้” กันทุกคน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างโชคไม่เข้าข้าง หรือว่าความผิดพลาดของตัวเองจนทำให้พลาดดีลสำคัญ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมก่อให้คุณมีประสบการณ์ที่พร้อมจะเรียนรู้และปรับปรุงแก้ไขในอนาคตนั่นเอง

และนี่คือ รู้อะไรไม่สู้รู้งี้ สำหรับชีวิตนักขายของผมเอง และผมจะบอกคุณเพื่อไม่ให้คุณทำพลาดเหมือนผมอีก ที่สำคัญคือขอให้คุณจงจำเอาไว้ว่าชีวิตนักขายหลายๆ คนล้วนเคยผิดพลาด คุณจะได้ไม่ทำพลาดเหมือนคนอื่น

1. ลืมติดตามงาน

เป็นเหตุผลแรกที่ทำให้คุณ “ว่าว” ในการขายโดยที่ทำอะไรไม่ได้ รู้อีกทีดีลก็หลุดมือเรียบร้อยแล้วล่ะครับ มีบ้างสำหรับนักขายจอมสะเพร่า ที่ถึงแม้ว่าฝีไม้ลายมือในการนำเสนอจะทำได้ดี ลูกค้าสนใจและคุณก็ทำราคาออกมาจนได้ จากนั้นพอส่งงานไปเรียบร้อยแล้ว คุณกลับลืมตามงาน สุดท้ายทั้งคุณและลูกค้าก็ลืม รู้อีกทีลูกค้าดันซื้อคู่แข่งที่เข้ามาทีหลังไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่สาเหตุนี้เป็นสาเหตุหลักๆ ของนักขายที่ขาดเซลล์รีพอร์ทที่ดี ยิ่งถือลูกค้ามากก็ยิ่งมีโอกาสลืมได้ง่ายมาก สุดท้ายลูกค้าก็ไม่ซื้อเพราะคุณไม่ได้ตามงานนี่แหละครับ

2. ไม่ยอมย้ายงานใหม่

งานใหม่ที่ดีย่อมเป็นโอกาสที่น่าเสี่ยงอยู่เสมอ ถ้าคุณไม่ได้ทำงานห่วยจนถูกไล่ออก การย้ายงานมักมาจากการถูกเชิญหรือมีคนมาทาบทาง ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ยิ่งในยุคนี้มีเครื่องมืออย่างลิ้งก์อิน (LinkedIn.com) ที่สามารถเชิญชวนคุณให้ไปทำงานบริษัทเทพๆ ได้ง่ายๆ นักขายที่มีฝีมือล้วนเคยถูกทาบทามหรือมีคนแนะนำให้ลองไปสมัครงานบริษัทที่ใหญ่กว่า แต่คุณกลับทิ้งโอกาสเหล่านั้นไปเพียงเพราะ “ไม่กล้าเสี่ยง” ซึ่งต่อให้มันไม่เวิร์กแต่คุณมีฝีมือ บริษัทอื่นก็ย่อมต้องการตัวอยู่ดี ความไม่กล้าและคิดไปเองทำให้หลายคนพลาดโอกาสที่จะเติบโตอยู่ในบริษัทที่ยอดเยี่ยม หรือได้รับตำแหน่งที่ดีขึ้น รู้ตัวอีกทีก็เจอเพื่อนรุ่นเดียวกันแซงหน้าไปแล้วล่ะครับ 

3. ใช้อารมณ์เป็นใหญ่เหนือเหตุผล

นักขายวัยรุ่นย่อมเคยผ่านช่วงเวลาไฟแรงแต่ขาดประสบการณ์กันแทบทั้งสิ้น ความมุทะลุดุุดันหรือความอ่อนหัดของคุณอาจทำให้สิ่งที่คุณไม่เคยควบคุมให้อยู่ในระดับมืออาชีพมาก่อนนั่นก็คือเรื่องของอารมณ์ ส่งผลให้เวลาทำงานไม่ได้ดั่งใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเจ้านายด่า คุณก็จะหัวร้อนและเถียงเจ้านาย เพื่อนร่วมงานทำอะไรไม่เข้าตา คุณก็จะเอาไปเหน็บหรือนินทากับคนรอบข้าง หรือเมื่อตอนที่ลูกค้าต่อว่าและไม่ซื้อคุณ คุณก็จะเครียดเกินเหตุ กินไม่ได้นอนไม่หลับ โต้เถียงกับลูกค้าก็มี โดยเฉพาะเรื่องของการโต้เถียง เช่น เถียงเจ้านาย หลายๆ คนมักอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้น เพราะการกระทำก่อนหน้านี้อาจส่งผลให้อนาคตการงานของคุณแย่เลยก็ได้

4. เป็นนักขายประเภทหมาล่าเนื้อ

หมาล่าเนื้อเป็นคำเปรียบเปรยของคนทำงานสมัยก่อนที่มักมองว่าอาชีพนักขายต้องเป็นประเภทสมบุกสมบัน ถึงไหนถึงกัน ซ่าทุกหยด โดยเฉพาะกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตลูกค้า เช่น กิจกรรมกินดื่ม เที่ยวกลางคืน ตีกอล์ฟ ไปอ่างอบนวด รับส่งลูกค้า ไม่เว้นแม้กระทั่งต้องออกไปรับลูกของลูกค้าที่โรงเรียน เป็นต้น กิจกรรมนอกสนามเหล่านี้ส่งผลให้ชีวิตของนักขายบางคนที่ยังคิดว่าวิธีการขายแบบนี้เป็นวิธีที่ประสบความสำเร็จใช้ร่างกายเปลืองเกินไป ไม่มีเวลาให้ครอบครัวหรือคนที่รัก เสี่ยงตายเพราะทำงานหนักหรือแค่ขับรถไปหาลูกค้าบ่อยๆ ก็เสี่ยงแล้ว เป็นต้น ยิ่งพวกเขายึดอาชีพนี้ต่อไปมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งบั่นทอนพลังชีวิตจนสุดท้ายก็ทำงานจนปลดระวางแค่นั้น

5. ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองเป็นระดับผู้จัดการฝ่ายขึ้นไป

นักขายมือทองย่อมรู้ดีว่าการทำงานเป็นนักขายแบบมืออาชีพสามารถจัดการเรื่องของเวลาได้ ทำให้จัดสรรเวลาได้อย่างยืดหยุ่น ทำงานไม่หนักมากจนเกินไป ที่สำคัญคือได้ค่าคอมมิชชั่นเข้ากระเป๋าแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าระดับผู้จัดการด้วยซ้ำไป แถมยังไม่ต้องปวดหัวกับการบริหารหรือสอนทีมขายคนอื่นๆ อีกด้วย สนใจแต่ตัวเองก็พอ ทำให้เวลามีโอกาสเข้ามาให้คุณเป็นระดับผู้จัดการฝ่าย คุณกลับปฎิเสธเพราะคิดว่าเสี่ยง ทำงานหนักขึ้น ได้ค่าคอมฯ น้อยลง ถึงแม้ว่าเงินเดือนเยอะขึ้นก็ไม่สน แต่หารู้ไม่ว่าการที่คุณไม่พัฒนาตัวเองให้ถึงระดับผู้จัดการ คุณก็เหมือนนักฟุตบอลที่ไม่มีอะไรทำหลังเลิกเล่นนั่นแหละครับ การเป็นผู้จัดการทำให้คุณไม่เป็นหมาล่าเนื้อในอนาคต

6. ไม่บริหารเงินที่ได้มาให้ดี

อาชีพนักขายมีค่าคอมมิชชั่น ซึ่งมากน้อยก็แล้วแต่ฝีมือกับธุรกิจ สำหรับนักขายที่ได้ค่าตอบแทนเยอะ ได้ค่าคอมมิชชั่นเยอะ บางคนรายรับเป็นแสนต่อเดือน ทำให้หลายๆ คนหลงระเริงไปกับการใช้เงินให้กับวัตถุที่ฟุ่มเฟือย เผาเงินทิ้งไปวันๆ กับสิ่งที่ไม่ได้สร้างรายได้ให้กับคุณ อย่าลืมนะครับว่าอาชีพเซลล์เสียภาษีแบบหักเต็ม (ฮา) ต่อให้คุณได้เป็นล้านก็โดนภาษีอื้อเลยล่ะครับ ดังนั้นเงินที่ได้มาก็ควรวางแผนให้ดี เอาไปต่อยอดธุรกิจส่วนตัวเพราะคุณมีสกิลการขาย หรือลงทุนในรูปแบบการลงทุนต่างๆ ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการได้เงินมาเยอะแล้วใช้ชีวิตแบบกินหรูอยู่สบายไปวันๆ นั่นเองครับ

7. ไม่ยอมลงทุนกับตัวเอง

เงินที่ได้มาจากการขายย่อมเยอะกว่าหลายๆ สาขาอาชีพทั่วไป (ถ้าคุณมีฝีมือมากพอ) แต่การจะคิดให้ไกลไปถึงระดับผู้บริหารระดับสูงฝ่ายขายขององค์กรที่มีความมั่นคงสูง บางทีฝีมืออย่างเดียวอาจไม่พอ คุณจะต้องสู้กับตัวเลือกที่มีวุฒิการศึกษาขั้นเทพ แถมยังมีประสบการณ์ระดับสูงอีกด้วย การไม่ยอมลงทุนด้านการศึกษาหรือพัฒนาทักษะที่สำคัญเช่นภาษาอังกฤษ ย่อมถือว่าคุณกำลังประมาทไปกับสถานการณ์ในปัจจุบัน อย่าลืมนะครับว่าเด็กรุ่นใหม่นั้นเก่งกว่าคุณเสมอ พวกเขามาจากครอบครัวที่ดีพร้อม การศึกษาขั้นเทพ แถมยังมีอินเทอร์เน็ตในการหาเทคนิคการขายหรือธุรกิจง่ายๆ เพียแค่ปลายนิ้ว ผมถึงบอกว่าคุณจะประมาทไม่ได้ ไม่งั้นถูกเด้งแน่นอนครับ

นี่คือสิ่งที่ผมอยากให้คุณรู้ เพื่อไม่ให้คุณพลาดต่อการทำงานนักขายและการใช้ชีวิตครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น