10 นิสัยที่ควรเลิก ถ้าคุณอยากเป็นนักขายที่อยากประสบความสำเร็จ

วันนี้ลองหันมามองตัวเองว่าทำไมคุณถึงเป็นนักขายที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ แล้วลองทบทวนว่าตัวคุณเองมีนิสัยที่ควรปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ในด้านไหนกันบ้างครับ?

ถ้าคุณอยากเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จ จงเลิกนิสัยเหล่านี้ซะ

ลองอ่านบทความของผมแล้วเช็คตัวเองว่ามีข้อใดที่ตรงกับตัวคุณบ้าง ถ้ารู้ตัวแล้ว จงรีบหันมาคุยกับตัวเอง แล้วพูดกับตัวเองว่าฉันจะเลิกนิสัยเหล่านั้นให้ได้

1. เลิกเป็นคุณชายสายเสมอได้แล้ว

คุณสมบัติของนักขายที่ดีโดยที่ไม่ต้องโม้แม้แต่คำเดียว คือการมาทำงานและมาพบลูกค้าให้ตรงเวลา เพราะตัวคุณคือนักขายมืออาชีพ ดังนั้น คงไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่ทำให้คุณมาสายแล้วฟังขึ้น (ยกเว้นเหตุสุดวิสัยจริงๆ) การมาให้ตรงเวลาถือว่าเป็นสิ่งที่คุณยังสามารถควบคุมได้ เช่น ตื่นให้เช้าขึ้น คำนวณระยะเวลาการเดินทางด้วย Google Maps หาทางเลือกเพื่อช่วยในการเดินทางเพิ่มเติม เช่น รถไฟฟ้า ทำให้คุณมาได้อย่างตรงเวลามากขึ้น

ลูกค้าจะเกรงใจคุณเป็นพิเศษ ถ้าคุณมาก่อนเวลา แล้วลูกค้ามาช้ากว่าคุณ แต้มต่อคุณจะมีเหนือกว่าลูกค้าทันที แต่ถ้าคุณมาสายกว่าเวลานัดของลูกค้า ต่อให้เจอหน้าแล้วลูกค้ายิ้มหรือพูดคุยดี แต่ลับหลัง เชื่อเถอะครับ เผลอๆ พวกเขาด่าคุณในใจและกาหัวคุณออกไปจากคู่ค้าเรียบร้อยแล้ว จงเลิกนิสัยการมาสายเป็นนิจซะนะครับ 

2. เลิกเป็นคนคิดลบและเลิกยุ่งกับคนที่คิดลบตลอดเวลา

เข้าใจว่าสำหรับบางคนนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก สำหรับการเปลี่ยนตัวเองจากคนที่คิดลบให้กลายเป็นคิดบวก แต่อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้คุณรู้ตัวเองอยู่เสมอ ยามที่เริ่มคิดอะไรลบๆ เช่น คิดว่าลูกค้าไม่ซื้อเพราะชอบคู่แข่งมากกว่า คิดว่าเจ้านายไม่รัก คิดว่าเพื่อนร่วมงานไม่เก่ง ฟลุ้ก คิดว่าตัวเองนั้นไร้ฝีมือ ฯลฯ ขอบอกตรงนี้เลยว่าการคิดลบ ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตคุณดีขึ้นแต่อย่างใด ถ้าคนรอบข้างคุณสัมผัสได้เมื่อไหร่ ก็จะไม่มีใครอยากคบหา ช่วยเหลือคุณอีกต่อไป

การอยู่ร่วมกับคนที่คิดลบ เช่น เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ฯลฯ ก็เป็นสิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานขี้นินทาที่วันๆ เอาแต่พูดเรื่องลบๆ ของคนอื่น หรือแม้แต่เรื่องห่วยๆ ของตัวเอง แถมยังทำงานไม่ได้เรื่อง ชวนคุณกินเหล้าทุกอาทิตย์ ถ้าคุณมีคนรอบตัวแบบนี้ ก็รังแต่จะทำให้การทำงานและการขายของคุณนั้นตกต่ำลง

3. เลิกรับปากสั่วๆ ไม่รักษาคำพูด

ปัญหาของนักขายจอมตอแหลก็คือเรื่องนี้นี่แหละครับ คือการรับปากแล้วไม่ทำหรือทำไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือคุณจะเป็นนักขายที่เชื่อถือไม่ได้ ถ้าลูกค้าไม่เชื่อใจคุณ พวกเขาไม่มีทางซื้อคุณแน่นอน เพราะการทำอย่างที่รับปากคือบทพิสูจน์ของการเป็นนักขายได้ดีที่สุด และควรพยายามทำตามที่รับปากอย่างสุดความสามารถ ถ้าไม่ไหวจริงๆ คุณยังมีเหตุผลดีๆ ที่จะอธิบายพวกเขาได้

ไม่ว่าคุณจะรับปากกับใครก็ตาม แม้แต่การนัดเพื่อน นัดแฟน จ่ายหนี้ ฯลฯ ถ้ารับปากอะไรแล้วก็ควรลงมือทำให้ได้ ควรระบุเป็นลายลักษณ์อักษรและจดบันทึกเตือนความจำเอาไว้ทุกครั้ง จะได้ไม่ลืม ยิ่งคุณอยู่สูง มีตำแหน่งใหญ่โตมากขึ้นเท่าไหร่ คุณยิ่งต้องรับปากและรักษาคำพูดเอาไว้ทุกครั้งให้ได้ เหมือนคำกล่าวที่ว่า “กษัตริย์ ตรัสแล้ว ไม่คืนคำ” ถ้าคุณทำไม่ได้ ต่อให้มีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน คุณมันก็กลายเป็นแค่คนตอแหลคนนึงอยู่ดีครับ

4. เลิกพูดมากจนไม่ฟังผู้อื่น

การเป็นนักขาย ไม่ใช่ว่าคุณเป็นคนพูดเก่งแล้วจะดี คนพูดมากมักจะคิดไปเองว่าตัวเองพูดเก่ง มีสกิลปากที่พูดแล้วไม่มีเหนื่อย ขอบอกเลยว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้คนอื่นไม่ชอบคุณได้ ลูกค้าเริ่มรู้สึกรำคาญ เพราะคนพูดมากมักจะเป็นผู้ฟังที่ไม่ดี ไม่ค่อยถามคำถามให้อีกฝ่ายพูด ทำให้ไม่รู้ความต้องการของอีกฝ่าย การขายก็ไม่ประสบความสำเร็จ

การพูดมากกับพูดเก่งนั้นเป็นคนละเรื่องกัน พูดเก่งคือการถามคำถามแล้วฟังคำตอบ จากนั้นก็ถามคำถามที่เกี่ยวข้องจากคำตอบของผู้พูด ทำให้คู่สนทนานั้นคายข้อมูลให้คุณฟังมากกว่าการที่คุณพูดแต่เรื่องของตัวเอง ส่งผลให้การขายนั้นประสบความสำเร็จ เพราะรู้ข้อมูลมากกว่าคนอื่น

5. เลิกตื๊อและเลิกควบคุมลูกค้าซะ

เพราะลูกค้าเป็นสิ่งเดียวที่คุณควบคุมไม่ได้ คุณไม่สามารถไปควบคุมหรือกดดันให้ลูกค้ามาซื้อคุณ วิธีแบบโบราณที่น่ารำคาญ เช่น ‘การตื๊อ’ มันถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่เวิร์ก ทำไปซักพักก็จะโดนปฎิเสธมากขึ้น ขายไม่ได้ สุดท้ายคุณก็จะเป็นทุกข์ เริ่มโทษสิ่งต่างๆ รอบตัว ทั้งๆ ที่ตัวคุณเองไม่รู้เลยว่ากำลังขายของผิดวิธีอยู่

จงเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่าการขายในปัจจุบันไม่ใช่การตื๊ออีกต่อไปแล้ว ลูกค้าควรมีสิทธิ์ในการพิจารณาซื้อด้วยตัวของพวกเขาเอง คุณมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำลูกค้าในด้านบวก โดยปัจจัยที่คุณควบคุมได้นั้นคือ ข้อเสนอ ราคา สินค้า บริการ ฯลฯ จงทำหน้าที่ในจุดนี้ให้ดีที่สุด และแชร์ให้ลูกค้าฟังอย่างตรงประเด็น

6. เลิกขี้เกียจทำนัดเพิ่มและเลิกอู้งานหรือกลับบ้านก่อนเวลางาน

ทุกวันนี้คุณไปพบลูกค้าวันละกี่รายครับ? ถ้าคุณบอกว่า 2 นัดต่อวันนั้นเยอะแล้ว ขอบอกเลยว่าคุณกำลังอ้างว่าตัวเองทำงานหนัก จริงๆ แล้วคุณขี้เกียจทำนัดไปพบลูกค้าใหม่เพิ่มต่างหาก นอกจากจะขี้เกียจโทรแล้ว ยังหาเรื่องอู้งานกลับบ้านหลังจากเข้าพบลูกค้านัดที่ 2 ช่วงบ่ายซะงั้น

ถามจริงเหอะว่าคุณใช้เวลาเข้าพบลูกค้านานกว่า 1 ชั่วโมงต่อนัดงั้นหรือครับ? คุณเข้าไปทำอะไรตั้งนานในช่วงเช้าหรือช่วงบ่าย หรือแม้แต่วันที่ไม่มีนัดแล้วคุณเข้ามาอยู่ที่ออฟฟิศบ่อยครั้ง โดยที่ไม่พยายามทำนัดใหม่ ก็ถือว่าคุณขี้เกียจทำงานเพิ่มนั่นเองครับ ลองทำนัดให้ได้วันละ 4-5 นัด ใช้เวลาไม่เกินนัดละ 1 ชั่วโมงดูสิ คุณจะกลายเป็นคนขยันและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน

ึ7. เลิกใช้เวลาอย่างไร้สาระไปวันๆ จากการเล่นโซเชี่ยล ดูละคร

ผมขอออกตัวก่อนนะครับว่าการใช้โซเชี่ยล เช่น เฟสบุ้ค ไลน์ พันทิป ฯลฯ ในเรื่องดีๆ เช่น อัพเดทข่าวสารบ้านเมือง อ่านบทความดีๆ ดูยูทูป ฟังเพลง เรียนออนไลน์ ขายของออนไลน์ เป็นต้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วล่ะครับ “ในข้อแม้ว่าถ้าคุณแบ่งเวลาให้กับมันอย่างเหมาะสม”

แต่ถ้าคุณใช้เวลากับมันมากเกินไป มันจะกลายเป็นตัวถ่วงชีวิตคุณ แม้แต่ในเวลางาน เช่น ถ้าคุณมัวแต่เล่นไลน์ เล่นเฟสโดยที่ไม่ได้ทำงานอะไรเพิ่มเติม ก็หมายความว่าคุณกำลังเสียเวลาชีวิตให้กับสิ่งเหล่านี้ โดยที่คุณไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว การติดหนัง ติดละครมากเกินไปก็เช่นกัน ถ้าคุณอายุ 30 ขึ้นไป ขอบอกเลยว่ามันจะถ่วงเวลาชีวิตในการพัฒนาตัวเองสำหรับคุณมากๆ สุดท้ายคุณก็ตามคนอื่นไม่ทัน

8. เลิกเป็นคนมีอีโก้สูงและเลิกเป็นน้ำเต็มแก้วซักที

สิ่งนี้เป็นปัญหามากสำหรับคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป และไม่รู้ตัวเองว่ากำลังทำนิสัยเสีย เพราะไม่ว่าคุณจะเรียนจบสถาบันดังแค่ไหน ต้นทุนทางสังคมมากเพียงใด ถ้าคุณมีอีโก้สูง คุณจะเป็นคนที่สอนไม่ได้ ว่ากล่าวตักเตือน แนะนำ ก็โกรธ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การทำตัวเป็นคนมีอีโก้สูงและดูถูกคนอื่นจะทำให้ชีวิตของคุณดิ่งเหวทันที สิ่งนี้แหละที่เขาเรียกว่าอาการน้ำเต็มแก้ว

การมีอีโก้สูงและสอนไม่ได้ จะทำให้ตัวคุณโง่ลงเรื่อยๆ เพราะมั่นใจในตัวเองเกินไปและลงมือทำอะไรโง่ๆ ที่แย่กว่านั้นคือนอกจากโง่แล้ว ยังมัวแต่ทำเรื่องโง่ๆ ซ้ำๆ ทำให้ความผิดพลาดนั้นมากขึ้นจนแก้ไขไม่ได้ สุดท้ายลูกค้าก็ไม่ซื้อ เจ้านาย เพื่อนร่วมงานก็ไม่เชื่อถือ แล้วก็กลายเป็นคนที่ล้มเหลว

9. เลิกนิสัยไม่รู้จักแบ่งเวลาและให้ความสำคัญของงาน

นักขายที่ไม่ประสบความสำเร็จมักจะบอกคนอื่นว่าตัวเองนั้นยุ่งอยู่ตลอดเวลา งานหนัก กดดัน เครียด ไม่มีเวลา ทำงานอะไรก็ไม่เสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ผมถือว่าเป็นข้ออ้างทั้งนั้นนะครับ ต่อให้คุณอยู่บริษัทที่เป็นโรงงานนรกก็ตามที ถ้าคุณไม่รู้จักแบ่งเวลาโดยจัดลำดับความสำคัญของงานให้เรียบร้อย งานก็จะกลายเป็นดินพอกหางหมู และไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดว่านักขายที่ประสบความสำเร็จจะต้องทำงานหัวฟูอยู่ตลอดเวลา คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่แบ่งเวลาและให้ความสำคัญของลำดับงานได้ดีต่างหาก

10. เลิกอ้างและจงโทษตัวเองไว้ก่อน

ข้ออ้างคลาสสิกเวลาคุณขายไม่ได้ เช่น ลูกค้าซื้อคู่แข่งอยู่แล้ว สินค้าคุณแพง ไม่มีเส้น ลูกค้าไม่มีงบ เศรษฐกิจไม่ดี เจ้านายห่วย เพื่อนร่วมทีมห่วย บริษัทห่วย ฯลฯ ผมขอให้พวกคุณจงเลิกอ้างเหตุผลเหล่านี้ไปได้เลย เพราะบางทีปัญหาที่ขายไม่ได้จริงๆ อาจจะมาจากตัวคุณนั่นแหละที่ทำงานได้ไม่ดีพอ หาลูกค้าใหม่ได้ไม่มากพอ นำเสนอได้ไม่ดีพอ ไม่รู้กระบวนการขาย ทำให้ทำงานไม่เป็น จึงเริ่มโทษสิ่งต่างๆ รอบตัว

ลองกลับมาคิดทบทวนให้ดีว่าคุณลงมือทำงานเต็มที่หรือยัง เช่น โทรทำนัดวันละ 30 สาย เข้าพบลูกค้าวันละ 5 นัด ส่งใบเสนอราคาวันละ 1 ฉบับเป็นอย่างน้อย อัพเดทเซลล์รีพอร์ทให้เป็นล่าสุดตลอดเวลา มาพบลูกค้าตรงเวลา ถามคำถามที่มีประโยชน์ ตามงานให้ดี เข้าเยี่ยมลูกค้าหลังขายได้ ฯลฯ ถ้าคุณยังทำได้ไม่ดีพอ คุณก็ไม่สามารถอ้างโน่นอ้างนี่ได้อีกแล้วครับ ท็อปเซลล์เขาไม่โทษสิ่งต่างๆ รอบตัวกันหรอก

การหันมามองตัวเองและทบทวนสิ่งที่ยังฉุดรั้งไม่ให้คุณประสบความสำเร็จ นับว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของชีวิตคุณเลยล่ะครับ ถ้าคุณสามารถเลิกและปรับปรุงนิสัยเหล่านั้นได้ ผมขอเป็นกำลังใจให้นะครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น